- 31 ส.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th/
จริงๆเรื่องจัดงานศพ นี่เป็นคติของคนโบราณที่ใช้สอนกันมา มีความนัยแฝง เพียงแต่หลังๆหนังผีเอามาเล่นกันมาก จนคนรุ่นใหม่มองว่าเป็นเรื่องตลกหรืองมงาย บางคนก็คิดว่ามัดตราสังข์ แค่มัดเพื่อให้ศพท่าสวยๆ
๑. การรดกัน ที่มือของผู้ตาย
ซึ่งบางท่านเข้าใจว่าเป็นการขอ อโหสิกรรม ความจริงแล้วมุ่งเตือนสติผู้ที่มาร่วมงานว่า ผู้ที่ตายทุกคนไปแต่มือเปล่าไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย แม้แต่น้ำที่เทลงฝ่ามือก็ไหลร่วง
๒. เอาเงินเหรียญ ใส่ปาก
ก็เพื่อจะเตือนให้รู้ว่า แม้แต่บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ เพราะสัปเหร่อบางคนเขายังควักออกมา
๓. มัดตราสังข์ สามเปราะ
ก่อนนำศพใส่โลก ต้องทำพิธีมัดตราสังด้วยด้ายสายสิญจน์ นิยมมัดเป็น ๓ เปลาะ คือ ที่คอ ที่มือและที่เท้า มีผู้แต่งคำโครงอธิบายปริศนาธรรมของการมัดตราสังเป็น ๓ เปลาะไว้ดังนี้
มีบุตรห่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้
ภริยาเยี่ยงอย่างปอ รึงรัด มือนา
สามห่วงใครพ้นได้ จึงพ้นสงสาร
ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไป นิพพาน ไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏไม่มีจบสิ้น
๔. ผ้าขาวผืนใหญ่ห่อตัวศพ
เอาผ้าขาวผืนใหญ่ห่อตัวศพโดยขมวดไว้ด้านศีรษะ เพื่อจะได้เป็นการสะดวก เมื่อเวลาเปิดเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าศพก่อนเผา แล้วเอาด้ายดิบขนาดนิ้วหัวแม่มือ มัดเป็นเปลาะๆ ให้แน่นเป็น ๕ เปลาะ เป็นปริศนาธรรม หมายถึง นิวรณ์ ๕ คือ
๑. กามฉันทะ
๒. ความพยาบาท
๓. ความง่วงเหงาหาวนอน
๔. ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ
๕. ความลังเลใจ
ทั้ง ๕ ประการนี้คือสิ่งขวางกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี
๕. เคาะโลง รับศีล ไม่ใช่ให้ คนตาย มารับศีล
แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่าเอาแต่มัวเมาประมาทขาดสติ ไม่สนใจในหลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้
๖. จุดตะเกียง หรือจุดเทียน ไว้หน้าศพ
เตือนให้รู้ว่าการเกิดของคนเราต้องการแสงสว่าง ต้องมี พระธรรม เป็นดวงประทีปช่วยส่องทางเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต
๗. สวดอภิธรรม มักสวดเป็น ภาษาบาลี
คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้คนตาย แต่จริงๆ แล้วเป็นการสวดเพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน
ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับเสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็เกิดสมาธิจิตได้
๘. บวชหน้าไฟ
มักเข้าใจว่า เป็นการบวชจูงผู้ตายขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้นไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการ ปลงธรรมสังเวช เบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกีย์วิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาสมุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเข้าสู่มรรคผลนิพพาน
๙. การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ
เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่า ตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าได้เดินตามพระธรรมคำสอนของพระนั่นเอง จึงอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า
๑๐. การ เวียนซ้าย ๓ รอบ
หมายถึง การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งสาม อันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจ กิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย
๑๑. การใช้ น้ำมะพร้าว ล้างหน้าศพ
เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำพระธรรม
๑๒. การแปรรูปหลังจากเผาแล้ว
มีการเก็บ อัฐิ และมีการเขี่ย ขี้เถ้า ผู้ตายให้เป็นรูปร่าง กลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่า ได้กลับชาติใหม่แล้วตามวิบากของกรรมต่อไป
ดังนั้นจะเห็นว่าประเพณีงานศพนั้น ทุกขั้นตอนมันมีปริศนาธรรมซ่อนอยู่ เหลือมาหลังๆก็เลยเพียงทำตามๆ กันมา แล้วตัดนู่นตัดนี่เพราะไม่รู้ เช่นบางคนบอกจะพันด้ายไมตั้งสามที่ยังไงศพก็ไม่ฟื้น หรือจะผูกทำไมตั้งห้าปม ไงผ้าก็ไม่หลุด และก็มองเป็นเรื่องงมงายกันไป ศาสนพิธี ประเพณี พิธีกรรมต่างๆ การกระทำแต่ละขั้นตอนนั้น โบราณท่านได้สอนธรรมะไว้ในพิธีกรรมเหล่านั้นไว้ด้วยอุบายอันแยบคาย
อ้างอิงข้อมูลจาก - www.dhammajak.net , pantip.com/topic/32358046