ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

            เนื่องในวันที่ ๔ กันยายน เป็นวันเรือดำน้ำไทย บรรดาทหารเรือที่เคยประจำการในเรือดำน้ำ ได้ถือเอาวันนี้เป็นวันที่ระลึกเรือดำน้ำ สืบเนื่องจากเมื่อ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐ เรือดำน้ำ ๒ ลำ จากจำนวน ๔ ลำ ซึ่งสั่งต่อจาก บริษัทมิตซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่น คือ เรือหลวงมัจฉานุ และ เรือหลวงวิรุณ ได้สร้างแล้วเสร็จ ทางบริษัทพร้อมที่จะส่งมอบให้แก่ราชนาวีไทย ดังนั้น ทหารที่ถูกจัดให้อยู่ประจำเรือทั้งสองลำนี้ ได้กระทำพิธีรับมอบและลงประจำเรือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้กองทัพเรือจะปลดระวางประจำการเรือดำน้ำชุดนี้ไปแล้วก็ตาม แต่ในอดีตนั้น เรือดำน้ำเหล่านี้ได้เป็นเขี้ยวเล็บที่เสริมสร้างนาวิกานุภาพของไทยให้เข้มแข็ง จนเป็นที่กล่าวขานและได้รับใช้ชาติอย่างสมบูรณ์ ในกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสและในสงครามมหาเอเชียบูรพา จนกระทั่งสงครามสงบ เรือดำน้ำทั้งหมดได้ปลดระวางประจำการไปเมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมเวลารับใช้กองทัพเรือเป็นเวลา ๑๒ ปีเศษ เรื่องเรือดำน้ำ จึงได้กลายเป็น "อดีต" ไปแล้ว เหลือเพียงแต่เรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของ "นักดำเรือดำน้ำ" ในยุคนั้นอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

            กองทัพเรือ ได้จัดงานวันเรือดำน้ำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิก อดีตทหารเรือ ที่เคยเป็นนักดำเรือดำน้ำ กลุ่มชมรมเรือดำน้ำ และนายทหารประจำการที่เคยศึกษาวิชาเรือดำน้ำยุคใหม่ได้พบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งได้ร่วมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับนักดำเรือดำน้ำไทยในอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว

             ในประวัติศาสตร์เรือรบสยามนั้น เราเคยมี เรือดำน้ำอยู่ถึง 4 ลำ ซึ่งในสมัยนั้น เรียกว่า "เรือ ส."  เรือ ส. ทั้ง 4 ลำนี้ มีชื่อและหมายเลขเรียงตามลำดับ ดังนี้
หมายเลข ๑ ร.ล.มัจฉานุ
หมายเลข ๒ ร.ล.วิรุณ
หมายเลข ๓ ร.ล.สินสมุทร
หมายเลข ๔ ร.ล.พลายชุมพล

             เรือ ส. ทั้ง ๔ ลำนี้ มีชื่อตามตัวละครในวรรณคดีอมตะของไทยทุกลำ ซึ่งตาม ระเบียบกองทัพเรือ ว่าด้วยการแบ่งชั้นเรือ หมู่เรือ และการตั้งชื่อเรือหลวง ได้กำหนดให้เรือ ส. หรือเรือดำน้ำ ตั้งชื่อเรือตาม ผู้มีอิทธิฤทธิ์ สามารถดำน้ำได้ผิดมนุษย์มนา หรือ อาศัยอยู่ใต้บาดาล ในนิยาย หรือวรรณคดีไทย ซึ่งแต่ละลำก็มีที่มาจาก วรรณคดีต่าง ๆ

             

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

หมายเลข ๑ ร.ล.มัจฉานุ

              เรือหลวงมัจฉาณุ เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ มัจฉานุ จากเรื่องรามเกียรติ์ มัจฉานุ เป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา เนื่องจากเป็นลูกของหนุมาน จึงมีร่างกายเป็นลิง แต่มีหางเป็นปลาเช่นเดียวกับนางสุพรรณมัจฉา แต่เมื่อนางสุพรรณมัจฉาได้คลอดมัจฉานุด้วยการสำรอกออกมาแล้ว เกรงว่าทศกัณฐ์จะรู้ว่าเป็นลูกตน จึงได้นำมัจฉานุไปทิ้งไว้ที่หาดริมทะเล หลังจากนั้น ไมยราพณ์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบาดาล ได้เดินทางมาพบและเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งภายหลัง หนุมานที่ได้ติดตามไมยราพณ์ ซึ่งลักพาตัวพระรามมาไว้ที่เมืองบาดาล จึงได้พบกับมัจฉานุ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าด่านสระบัวอยู่ ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเอาชนะกันได้เสียที จึงได้ถามมัจฉานุว่าเป็นลูกใครพ่อแม่ชื่ออะไร เมื่อได้ยินคำตอบของมัจฉานุ หนุมานก็ดีใจมากเมื่อได้พบลูกของตน เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาครั้งที่ ๒ และศึกกรุงมลิวัน จึงได้รับแต่งตั้งเป็น พญาหนุราช ครองกรุงมลิวันแทนท้าวจักรวรรดิ และได้นางรัตนามาลี ธิดาท้าวจักรวรรดิเป็นมเหสี

            

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

หมายเลข ๒ ร.ล.วิรุณ

            เรือหลวงวิรุณ เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ วิรุณจำบัง จากเรื่องรามเกียรติ์ วิรุณจำบังเป็นโอรสของพญาทูษณ์ กษัตริย์เมืองจารึกองค์ที่ ๑ โอรสองค์ที่ ๕ ของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา น้องชายร่วมบิดามารดาของทศกัณฐ์ มีหน้ายักษ์สีมอหมึกเพียง ๑ พักตร์ ปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎหางไก่ มี ๒ กร ส่วนร่างกายนั้นดำ ปากแดง มีความสามารถในการแปลงกาย และหายตัวได้สมชื่อ แต่ที่โดดเด่นมาก คงเป็นตอนที่ซ่อนตัวเป็นไรอยู่ในฟองน้ำ เพื่อหนี จากการติดตาม ของหนุมาน เมื่อยกทัพไปช่วยทศกัณฐ์รบกับกองทัพพระราม สมทบกับกองทัพของ ท้าวสัทธาสูร โดยใช้ความสามารถพิเศษในการหายตัวได้ ทั้งตน และ นิลพาหุ ม้าคู่ใจ เข้าฆ่าพลลิงในกองทัพพระราม ตายเกลื่อนกลาด พระรามจึงแผลงศร ฆ่าม้านิลพาหุ ส่วนวิรุฬจำบังนั้น ได้นิมิตรตนเองเป็นไรซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำ อยู่ ณ เชิงเขาอัศกรรณ กระทั่งหนุมานตามมาพบจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายวิรุฬจำบังถูกรัดด้วยหางของพญาลิง ก่อนหนุมานจะเหวี่ยงเข้าใส่เหลี่ยมเขาจนขาดใจตาย สาเหตุที่นำชื่อ วิรุณจำบัง มาตั้งเป็นชื่อเรือ ส. นี้ น่าจะมาจากอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวได้ และโจมตีข้าศึกโดยไม่ให้รู้ตัวมากกว่าการที่ไปซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำ ใต้แม่น้ำ เพราะเรือดำน้ำก็มีคุณสมบัติพิเศษก็คือ การเร้นกายดุจหายตัวไปในพื้นท้องทะเล เรือผิวน้ำไม่สามารถตรวจจับได้โดยง่ายและจู่โจมศัตรูโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง

 

 

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

หมายเลข ๓ ร.ล.สินสมุทร

            เรือหลวงสินสมุทร เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ สินสมุทร จากเรื่องพระอภัยมณี สินสมุทรเป็นโอรสของ พระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทร เป็นคนที่ผลักหินเปิดปากถ้ำให้พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรโดยความช่วยเหลือของพวกเงือก ซึ่งตัวเขาเองก็หนีตามพ่อไปด้วยจนไปถึงเกาะแก้วพิสดาร ต่อมานางสุวรรณมาลีได้รับสินสมุทรเป็นลูกบุญธรรม สินสมุทรมีบทบาทสำคัญในศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก และเมื่อไปรบลังกาก็ได้ติดตามพระอภัยมณีไปด้วย จนไปหลงกลเสน่ห์นางยุพาผกาติดพันอยู่ที่เมืองลังกา สินสมุทรมีรูปกายเหมือนมนุษย์ แต่มีเขี้ยวงอกออกจากปากเหมือนยักษ์ สามารถดำน้ำ ว่ายน้ำได้และมีพละกำลังมหาศาล โมโหร้ายเหมือนมารดา และเจ้าชู้เหมือนบิดา นอกจากนี้ยังเก่งกล้าสามารถในการรบ เพราะได้วิชาจากพ่อ และฤาษีโยคีที่เกาะแก้วพิสดาร จึงนับได้ว่า สินสมุทรเป็นนักรบทางทะเลที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว

 

 

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

หมายเลข ๔ ร.ล.พลายชุมพล

                เรือหลวงพลายชุมพล เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ พลายชุมพล จากเรื่องขุนช้างขุนแผน พลายชุมพล เป็นลูกของขุนแผนกับนางแก้วกิริยา ต่อมาได้ทำความดีความชอบจึงได้เลื่อนเป็นหลวงนายฤทธิ์ นายเวรมหาดเล็กเวรขวา กรมเดียวกับพลายงาม ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา มีอยู่ครั้งหนึ่งเถรขวาดจำแลงตนมาเป็นจระเข้ อาละวาดฆ่าคน ในเมืองเชียงใหม่ เป็นที่เกรงกลัวของผู้คนในย่านนั้น พลายชุมพลจึงได้อาสาสมเด็จพระพันวษา ออกปราบเถรขวาด และจับตัวเถรขวาดได้สำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น หลวงนายฤทธิ์ จากวีรกรรมที่พลายชุมพล ต้องลงน้ำปราบจระเข้จำแลง และวิชาล่องหนหายตัว กับวิชาดำดินนี้เอง จึงทำให้ พลายชุมพล เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ได้นำมาใช้กับ เรือ ส. ลำสุดท้ายของสยาม

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!
(เรือหลวงมัจฉานุ)

 

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !! (เรือหลวงวิรุณ)

 

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

(เรือหลวงสินสมุทร)

 

ระลึกวันเรือดำน้ำไทย!! จาก..ผู้มีอิทธิฤทธิ์สามารถดำน้ำได้ จากวรรณคดีไทย สู่..ชื่อพระราชทานของ เรือ ส. เรือหลวงของสยาม ที่น้อยคนที่จะรู้ !!

(เรือหลวงพลายชุมพล)

 

            เรือหลวงทั้ง ๔ ลำ ปลดประจำการเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ พร้อมกัน เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลก และไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และโรงงานแบตเตอรีของไทยที่ตั้งขึ้นก็ไม่สามารถผลิตแบตเตอรีสำหรับใช้ประจำเรือได้ ประกอบกับเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในกองทัพเรือ มีคำสั่งยุบหมวดเรือดำน้ำ โอนย้ายไปรวมกับหมวดเรือตรวจฝั่งที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังปลดประจำการ เรือทั้งสี่ลำได้ได้นำมาจอดเทียบกันที่ท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับโรงพยาบาลศิริราช ต่อมาได้มีการขายเรือให้กับบริษัทปูนซีเมนต์ไทย คงเหลือแต่หอบังคับการ อาวุธปืน และกล้องส่อง ทางกองทัพเรือได้นำมาจัดสร้างสะพานเรือจำลอง จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ หน้าโรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ

 

 

ขอบคุณที่มาจาก : http://zedth.exteen.com

                        https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงมัจฉานุ

                        https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงวิรุณ

                        https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงสินสมุทร

                        https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงพลายชุมพล