- 04 ก.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
เนื่องในวันที่ ๔ กันยายน เป็นวันเรือดำน้ำไทย บรรดาทหารเรือที่เคยประจำการในเรือดำน้ำ ได้ถือเอาวันนี้เป็นวันที่ระลึกเรือดำน้ำ สืบเนื่องจากเมื่อ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๐ เรือดำน้ำ ๒ ลำ จากจำนวน ๔ ลำ ซึ่งสั่งต่อจาก บริษัทมิตซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่น คือ เรือหลวงมัจฉานุ และ เรือหลวงวิรุณ ได้สร้างแล้วเสร็จ ทางบริษัทพร้อมที่จะส่งมอบให้แก่ราชนาวีไทย ดังนั้น ทหารที่ถูกจัดให้อยู่ประจำเรือทั้งสองลำนี้ ได้กระทำพิธีรับมอบและลงประจำเรือตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถึงแม้กองทัพเรือจะปลดระวางประจำการเรือดำน้ำชุดนี้ไปแล้วก็ตาม แต่ในอดีตนั้น เรือดำน้ำเหล่านี้ได้เป็นเขี้ยวเล็บที่เสริมสร้างนาวิกานุภาพของไทยให้เข้มแข็ง จนเป็นที่กล่าวขานและได้รับใช้ชาติอย่างสมบูรณ์ ในกรณีพิพาทกับฝรั่งเศสและในสงครามมหาเอเชียบูรพา จนกระทั่งสงครามสงบ เรือดำน้ำทั้งหมดได้ปลดระวางประจำการไปเมื่อ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ รวมเวลารับใช้กองทัพเรือเป็นเวลา ๑๒ ปีเศษ เรื่องเรือดำน้ำ จึงได้กลายเป็น "อดีต" ไปแล้ว เหลือเพียงแต่เรื่องราวที่อยู่ในความทรงจำของ "นักดำเรือดำน้ำ" ในยุคนั้นอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
กองทัพเรือ ได้จัดงานวันเรือดำน้ำขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิก อดีตทหารเรือ ที่เคยเป็นนักดำเรือดำน้ำ กลุ่มชมรมเรือดำน้ำ และนายทหารประจำการที่เคยศึกษาวิชาเรือดำน้ำยุคใหม่ได้พบปะสังสรรค์ แลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน รวมทั้งได้ร่วมทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับนักดำเรือดำน้ำไทยในอดีตที่ล่วงลับไปแล้ว
ในประวัติศาสตร์เรือรบสยามนั้น เราเคยมี เรือดำน้ำอยู่ถึง 4 ลำ ซึ่งในสมัยนั้น เรียกว่า "เรือ ส." เรือ ส. ทั้ง 4 ลำนี้ มีชื่อและหมายเลขเรียงตามลำดับ ดังนี้
หมายเลข ๑ ร.ล.มัจฉานุ
หมายเลข ๒ ร.ล.วิรุณ
หมายเลข ๓ ร.ล.สินสมุทร
หมายเลข ๔ ร.ล.พลายชุมพล
เรือ ส. ทั้ง ๔ ลำนี้ มีชื่อตามตัวละครในวรรณคดีอมตะของไทยทุกลำ ซึ่งตาม ระเบียบกองทัพเรือ ว่าด้วยการแบ่งชั้นเรือ หมู่เรือ และการตั้งชื่อเรือหลวง ได้กำหนดให้เรือ ส. หรือเรือดำน้ำ ตั้งชื่อเรือตาม ผู้มีอิทธิฤทธิ์ สามารถดำน้ำได้ผิดมนุษย์มนา หรือ อาศัยอยู่ใต้บาดาล ในนิยาย หรือวรรณคดีไทย ซึ่งแต่ละลำก็มีที่มาจาก วรรณคดีต่าง ๆ
หมายเลข ๑ ร.ล.มัจฉานุ
เรือหลวงมัจฉาณุ เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ มัจฉานุ จากเรื่องรามเกียรติ์ มัจฉานุ เป็นลูกของหนุมานกับนางสุพรรณมัจฉา เนื่องจากเป็นลูกของหนุมาน จึงมีร่างกายเป็นลิง แต่มีหางเป็นปลาเช่นเดียวกับนางสุพรรณมัจฉา แต่เมื่อนางสุพรรณมัจฉาได้คลอดมัจฉานุด้วยการสำรอกออกมาแล้ว เกรงว่าทศกัณฐ์จะรู้ว่าเป็นลูกตน จึงได้นำมัจฉานุไปทิ้งไว้ที่หาดริมทะเล หลังจากนั้น ไมยราพณ์ ซึ่งเป็นเจ้าเมืองบาดาล ได้เดินทางมาพบและเก็บไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งภายหลัง หนุมานที่ได้ติดตามไมยราพณ์ ซึ่งลักพาตัวพระรามมาไว้ที่เมืองบาดาล จึงได้พบกับมัจฉานุ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าด่านสระบัวอยู่ ทั้งสองจึงได้ต่อสู้กัน แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่สามารถเอาชนะกันได้เสียที จึงได้ถามมัจฉานุว่าเป็นลูกใครพ่อแม่ชื่ออะไร เมื่อได้ยินคำตอบของมัจฉานุ หนุมานก็ดีใจมากเมื่อได้พบลูกของตน เมื่อเสร็จศึกกรุงลงกาครั้งที่ ๒ และศึกกรุงมลิวัน จึงได้รับแต่งตั้งเป็น พญาหนุราช ครองกรุงมลิวันแทนท้าวจักรวรรดิ และได้นางรัตนามาลี ธิดาท้าวจักรวรรดิเป็นมเหสี
หมายเลข ๒ ร.ล.วิรุณ
เรือหลวงวิรุณ เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ วิรุณจำบัง จากเรื่องรามเกียรติ์ วิรุณจำบังเป็นโอรสของพญาทูษณ์ กษัตริย์เมืองจารึกองค์ที่ ๑ โอรสองค์ที่ ๕ ของท้าวลัสเตียนกับนางรัชฎา น้องชายร่วมบิดามารดาของทศกัณฐ์ มีหน้ายักษ์สีมอหมึกเพียง ๑ พักตร์ ปากขบตาจระเข้ สวมมงกุฎหางไก่ มี ๒ กร ส่วนร่างกายนั้นดำ ปากแดง มีความสามารถในการแปลงกาย และหายตัวได้สมชื่อ แต่ที่โดดเด่นมาก คงเป็นตอนที่ซ่อนตัวเป็นไรอยู่ในฟองน้ำ เพื่อหนี จากการติดตาม ของหนุมาน เมื่อยกทัพไปช่วยทศกัณฐ์รบกับกองทัพพระราม สมทบกับกองทัพของ ท้าวสัทธาสูร โดยใช้ความสามารถพิเศษในการหายตัวได้ ทั้งตน และ นิลพาหุ ม้าคู่ใจ เข้าฆ่าพลลิงในกองทัพพระราม ตายเกลื่อนกลาด พระรามจึงแผลงศร ฆ่าม้านิลพาหุ ส่วนวิรุฬจำบังนั้น ได้นิมิตรตนเองเป็นไรซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำ อยู่ ณ เชิงเขาอัศกรรณ กระทั่งหนุมานตามมาพบจึงเกิดการต่อสู้กันอย่างดุเดือด สุดท้ายวิรุฬจำบังถูกรัดด้วยหางของพญาลิง ก่อนหนุมานจะเหวี่ยงเข้าใส่เหลี่ยมเขาจนขาดใจตาย สาเหตุที่นำชื่อ วิรุณจำบัง มาตั้งเป็นชื่อเรือ ส. นี้ น่าจะมาจากอิทธิฤทธิ์ในการหายตัวได้ และโจมตีข้าศึกโดยไม่ให้รู้ตัวมากกว่าการที่ไปซ่อนตัวอยู่ในฟองน้ำ ใต้แม่น้ำ เพราะเรือดำน้ำก็มีคุณสมบัติพิเศษก็คือ การเร้นกายดุจหายตัวไปในพื้นท้องทะเล เรือผิวน้ำไม่สามารถตรวจจับได้โดยง่ายและจู่โจมศัตรูโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
หมายเลข ๓ ร.ล.สินสมุทร
เรือหลวงสินสมุทร เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ สินสมุทร จากเรื่องพระอภัยมณี สินสมุทรเป็นโอรสของ พระอภัยมณีกับนางผีเสื้อสมุทร เป็นคนที่ผลักหินเปิดปากถ้ำให้พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทรโดยความช่วยเหลือของพวกเงือก ซึ่งตัวเขาเองก็หนีตามพ่อไปด้วยจนไปถึงเกาะแก้วพิสดาร ต่อมานางสุวรรณมาลีได้รับสินสมุทรเป็นลูกบุญธรรม สินสมุทรมีบทบาทสำคัญในศึกเก้าทัพตีเมืองผลึก และเมื่อไปรบลังกาก็ได้ติดตามพระอภัยมณีไปด้วย จนไปหลงกลเสน่ห์นางยุพาผกาติดพันอยู่ที่เมืองลังกา สินสมุทรมีรูปกายเหมือนมนุษย์ แต่มีเขี้ยวงอกออกจากปากเหมือนยักษ์ สามารถดำน้ำ ว่ายน้ำได้และมีพละกำลังมหาศาล โมโหร้ายเหมือนมารดา และเจ้าชู้เหมือนบิดา นอกจากนี้ยังเก่งกล้าสามารถในการรบ เพราะได้วิชาจากพ่อ และฤาษีโยคีที่เกาะแก้วพิสดาร จึงนับได้ว่า สินสมุทรเป็นนักรบทางทะเลที่เก่งกาจผู้หนึ่งเลยทีเดียว
หมายเลข ๔ ร.ล.พลายชุมพล
เรือหลวงพลายชุมพล เป็นชื่อพระราชทาน มา ณ วันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๐ มาจากชื่อตัวละครในวรรณคดีไทยซึ่งมีอิทธิฤทธิ์ในการดำน้ำ คือ พลายชุมพล จากเรื่องขุนช้างขุนแผน พลายชุมพล เป็นลูกของขุนแผนกับนางแก้วกิริยา ต่อมาได้ทำความดีความชอบจึงได้เลื่อนเป็นหลวงนายฤทธิ์ นายเวรมหาดเล็กเวรขวา กรมเดียวกับพลายงาม ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา มีอยู่ครั้งหนึ่งเถรขวาดจำแลงตนมาเป็นจระเข้ อาละวาดฆ่าคน ในเมืองเชียงใหม่ เป็นที่เกรงกลัวของผู้คนในย่านนั้น พลายชุมพลจึงได้อาสาสมเด็จพระพันวษา ออกปราบเถรขวาด และจับตัวเถรขวาดได้สำเร็จ จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น หลวงนายฤทธิ์ จากวีรกรรมที่พลายชุมพล ต้องลงน้ำปราบจระเข้จำแลง และวิชาล่องหนหายตัว กับวิชาดำดินนี้เอง จึงทำให้ พลายชุมพล เป็นอีกชื่อหนึ่งที่ได้นำมาใช้กับ เรือ ส. ลำสุดท้ายของสยาม
(เรือหลวงมัจฉานุ)
(เรือหลวงวิรุณ)
(เรือหลวงสินสมุทร)
(เรือหลวงพลายชุมพล)
เรือหลวงทั้ง ๔ ลำ ปลดประจำการเมื่อวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๔ พร้อมกัน เนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่ หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงครามโลก และไม่ได้รับอนุญาตให้ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ และโรงงานแบตเตอรีของไทยที่ตั้งขึ้นก็ไม่สามารถผลิตแบตเตอรีสำหรับใช้ประจำเรือได้ ประกอบกับเหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๔ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ในกองทัพเรือ มีคำสั่งยุบหมวดเรือดำน้ำ โอนย้ายไปรวมกับหมวดเรือตรวจฝั่งที่ตั้งขึ้นใหม่ ภายหลังปลดประจำการ เรือทั้งสี่ลำได้ได้นำมาจอดเทียบกันที่ท่าเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้กับโรงพยาบาลศิริราช ต่อมาได้มีการขายเรือให้กับบริษัทปูนซีเมนต์ไทย คงเหลือแต่หอบังคับการ อาวุธปืน และกล้องส่อง ทางกองทัพเรือได้นำมาจัดสร้างสะพานเรือจำลอง จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ทหารเรือ หน้าโรงเรียนนายเรือ จังหวัดสมุทรปราการ
ขอบคุณที่มาจาก : http://zedth.exteen.com
https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงมัจฉานุ
https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงวิรุณ
https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงสินสมุทร
https://th.wikipedia.org/wiki/เรือหลวงพลายชุมพล