ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

ในวงศ์พระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต หลวงปู่เจี๊ยะจะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับเรื่องธรรมภายใน กิริยาภายนอกที่สบาย ๆ ท่านเป็นประเภทตรงไปตรงมา ท่านไม่พูดเอาใจเรา แต่คำสอนนั้นเมื่อนำมาประพฤติปฏิบัติ ก็เกิดผลดีกับชีวิตจิตใจเราได้จริงๆ คำสอนประเภทนี้อาจไม่ถูกใจคนบางคนที่นิยมการยกยอปอปั้น แต่เป็นคำสอนประเภททะลุทะลวงเพื่อเข้าสู่ความจริง

โดยเมื่อพรรษาที่ ๑๒ วัย ๓๓ ปี หลวงปู่เจี๊ยะก็สามารถคว่ำวัฏสงสารลงได้

ปี ๒๔๙๒  หลวงปู่เจี๊ยะได้ออกธุดงค์มาถึงป่าเชิงเขาบายศรี อำเภอท่าใหม่  ป่าในยุคนั้นเป็นป่าทึบ อุดมด้วยพืชป่า ชุกชุมด้วยสัตว์ป่า อาทิ เสือ หมี งู กวาง เก้ง นกนานาพันธุ์ แมลง ยุง  ชาวบ้านที่จะเข้ามาตั้งรกรากที่นี่ต้องหักร้างถางพงเพื่อทำนาไร่ เพาะปลูก หรือเป็นพรานป่าออกล่าสัตว์และหาของป่ามาขาย  เมื่อถูกชาวบ้านถางถากพื้นที่จึงทำให้ยุงและแมลงที่อาศัยอยู่ตามพงหญ้าบินออกมาให้ว่อน  ช่วงที่เพิ่งหักร้างถางพงใหม่ๆ ยุงชุมแทบจะทุกตารางนิ้ว  มองไปที่ใดก็ล้วนแต่เต็มไปด้วยกองทัพยุง  นั่นก็เพราะมนุษย์ไปกำจัดที่อยู่อาศัยของพวกมัน

สมัยก่อน ไข้มาลาเรียเป็นโรคที่คร่าชีวิตผู้คน  ใครที่เข้าป่าแล้วสามารถรอดชีวิตจากไข้มาลาเรียและสัตว์ป่าดุร้ายได้ถือว่าเก่งกาจมาก  ฉะนั้น  พระป่ารวมถึงชาวบ้านที่เป็นพรานป่าส่วนใหญ่ล้วนเคยผ่านไข้มาลาเรียกันมาแล้วทั้งสิ้น

ระหว่างปฏิบัติภาวนา ณ ที่แห่งนี้ หลวงปู่เจี๊ยะเกิดจับไข้มาลาเรียอย่างหนัก อาการไข้กำเริบเป็นระยะ แต่ท่านก็ไม่ถอดใจ กลับมุ่งภาวนาโดยใช้ธรรมะเข้าพิจารณาโรคภัยร่วมกับการอดอาหาร ๒-๓ วัน เพื่อเป็นการเร่งความเพียรพิจารณาโรคภัยเบียดเบียนที่เกิดขึ้นเพื่อเอาชนะความทุกข์ในสังสารวัฏ จนกระทั่งเห็นภาวะของจิตที่เป็นสมาธิซึ่งเกี่ยวเนื่องด้วยกายอย่างละเอียดชัดเจน  ท่านอธิบายถึงภาวะที่เกิดขึ้นให้ฟังว่า

 

วินาทีบรรลุธรรม!! หลวงปู่เจี๊ยะ  คว่ำวัฏสงสาร ฮุกหมัดเด็ดด้วย ‘วิปัสสนาญาณ’ เข้าปลายคาง อวิชชาถึงตายไม่มีวันฟื้น!!

 

มันยังมีลมหายใจ ลมหายใจมันแรง กายยังเต้นแรง เพราะสังขารของจิตดับแรง  กายมันตึ้บๆๆๆ ได้รับรู้  มันไม่สนิท มันต้องประกอบกัน  ไม่มีหลับหรอกจิตที่เป็นสมาธิ  ใครที่บอกว่า จิตที่เป็นสมาธิหลับไปเหมือนหัวตอ อย่าไปเชื่อเขา มันไม่จริง เราเอาหัวยืนยัน  ถึงแม้นตัดหัวเราออก เราก็ไม่เชื่อ เพราะได้พิสูจน์ด้วยการปฏิบัติมาแล้ว

ผลของการปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ต่อเนื่องด้วยความวิริยะตลอดหลายพรรษาที่ผ่านมาทำให้แจ้งในกระบวนการของ ความคิด-จิต-สมาธิ-กาย-ภาวนา”  หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวถึงวินาทีนั้นว่า

หยุดความค้น ลองวางปั๊บ แหม! ...มันขาดเชียว  การขาดครั้งนี้ไม่เหมือนการขาดลงอย่างที่ผ่านๆ มา

ณ วินาทีเหนือทุกข์นั้น หลวงปู่เจี๊ยะกล่าวโศลกธรรมให้ลูกศิษย์ฟังว่า

จิตมีอิสรภาพอย่างสูงสุด ปล่อยวางสังขารโลก คว่ำวัฏจักร วัฏจิต แหวกอวิชชาและโมหะอันเป็นประดุจตาข่ายด้วยการฮุกหมัดเด็ดคือ วิปัสสนาญาณเข้าปลายคาง อวิชชาถึงตายไม่มีวันฟื้น  พระพุทธเจ้าพระองค์อยู่ที่ใดทราบได้อย่างประจักษ์ใจ

คำว่า เป็นหนึ่งนั้นไม่มีความหมายใดจะอธิบายต่อได้อีก  ภพชาติที่หมุนวนมาตั้งกัปตั้งกัลป์นั้นเป็นความโง่ที่ไม่อาจให้อภัยได้  ชาติสังขารอยู่ที่ใด ใจไม่เกี่ยวเกาะ  สิ่งที่จิตเคยเกี่ยวเกาะถูกลบด้วยธรรมชาติที่เป็นหนึ่งนั้น  จะว่าบริสุทธิ์ก็พอจะคาดได้  แต่ธรรมชาติอันนี้หยั่งลึกเกินอธิบาย เป็นอจินไตยสำหรับปุถุชน ไม่ควรคิดถามให้ปวดหัว

ความงกเงิ่นเนิ่นช้าถูกเราทำลายและถากถางเข้าไปใกล้โดยตลอด ถูกทะลุทะลวงด้วยปัญญาญาณ โหมโรมแรงด้วยศรัทธา-วิริยะ-สติ-สมาธิ-ปัญญา เป็นกำลังหนุน ด้วยการบ่มอินทรีย์มาเป็นอย่างดี  ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ นี้ไม่มีช่องทางให้อวิชชาเดิน ถูกปิดด้วยมหาสติ มหาปัญญา  วิปัสสนาญาณตีตะล่อมเข้าภายใน หักล้างอวิชชาอันเป็นตัวการ  จิตปล่อยจิต เป็นธรรมอันเดียว เป็นธาตุที่บริสุทธิ์ เป็นมหัศจรรย์ยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ทางสมาธิปัญญาใดที่เคยผ่านมา

หลวงปู่เจี๊ยะเดินบนเส้นทางธรรมด้วยความเพียรอันเป็นวิริยะของอริยะที่ไม่ถอยหลังสู่ฆราวาสมานาน ๑๒ พรรษา จวบจนกระทั่งอายุ ๓๓ ปี จึงคว่ำวัฏสงสารที่มีมานานนับชาติภพไม่ถ้วนลงได้

 

 

 

 

ที่มา : หนังสือวินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง เล่ม 1 โดย เธียรนันท์