ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

              เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๗ หลวงพ่อจรัญ ได้รับอาราธนาจากพระครูสุวัฒน์คณาภิบาลเจ้าคณะอำเภอศรีสำโรง จ.สุโขทัย ไปในงานพุทธาภิเษกเพื่อรวบรวมปัจจัยในการสร้างพระอุโบสถวัดโพธาราม ที่สุโขทัย เมื่อหลวงพ่อได้ไปถึงที่วัด หลวงพ่อก็ได้นั่งรอกำหนดเวลาพิธี โดยมีโยมคนหนึ่งอายุประมาณ ๖๐ ปีเศษแล้ว เข้ามาสนทนากับท่านด้วยกิริยาวาจาที่อ่อนน้อมมากโดยเล่าให้ฟังว่า ตัวของโยมผู้นั้นมีอาชีพทำนาขณะเดียวกันก็มีความสามารถในการรักษาโรคบ้าของคนได้ด้วยยาหม้อ ซึ่งสามารถรักษาคนที่มีจิตใกล้วิกลจริตมาได้นักต่อนักแล้ว ซึ่งหลวงพ่อจรัญ ก็ให้ความสนใจมาก ท่านได้พยายามสอบถามโยมผู้นั้นว่าจะสามารถจดตัวยาให้ได้หรือไม่ ซึ่งโยมผู้นั้นก็อึกอักก่อนจะกราบเรียนไปตามตรง 

"กระผมอยากจะจดตัวยาให้ท่านแต่ ยาที่ข้าพเจ้าได้มาเป็นยาผีบอก ซึ่งโบราณถือว่าถ้าหากนำไปบอกต่อแล้วก็จะหมดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ไป หวังว่าหลวงพ่อคงเห็นใจที่จะมอบให้ไม่ได้จริงๆ"

             หลวงพ่อจรัญ ท่านก็ไม่ได้ว่ากล่าวอะไรเพียงแต่ซักถามรายละเอียดต่างๆ ซึ่งโยมผู้นั้นก็กราบเรียนเรื่องความฝันประหลาดที่ทำให้ยาหม้อนี้มาว่า

คืนหนึ่งในขณะที่เขาหลับไป ฝันเห็นตนเองกำลังเลี้ยงควายและดูแลไร่ยาสูบอยู่ได้มองเห็นพระภิกษุรูปหนึ่งรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณ ๗๐ ปีเศษเดินไปเดินมาด้วยความเหนื่อยอ่อนกระวนกระวาย ที่สำคัญก็คือจีวรของท่านขาดวิ่นจนดูไม่ได้ เลยไม่ทราบเหตุผลเลยว่าทำไมท่านจึงได้อัตคัดขัดสนถึงเพียงนี้ แล้วพระรูปนั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า "พ่อทิดเอ๋ย หลวงพ่อหิวน้ำจัง ขอบิณฑบาตน้ำหน่อยได้หรือไม่"

              เขาก็รีบตักน้ำมาถวาย พระภิกษุรูปนั้นก็รับน้ำไปฉันอย่างกระหายเมื่อท่านอิ่มแล้วจึงได้ชวนคุย โยมซึ่งมีความสงสัยในสภาพของหลวงพ่อจึงถามขึ้นว่า

"หลวงพ่ออยู่ที่ไหนทำไมจึงมาที่นี่ครับ"

"พ่อทิดเอ๋ย หลวงพ่อมานี่ก็เพราะต้องมาทวงหนี้เขา บ้านหนึ่งเขาขอยืมมา ๑ ชั่งอีกสองบ้านก็มายืม ๒ ชั่ง ยืมไปแล้วก็ไม่ยอมคืน หลวงพ่อเคยทวงหนี้เขาแล้วเขาไม่ให้ ตอนหลังๆ นี่คนที่เป็นลูกหนี้หลวงพ่อไม่รู้หายไปไหนหมด หลวงพ่อก็เลยต้องเดินวนเวียนอยู่ตรงนี้เป็นเวลานานแล้ว"

              โยมผู้นั้นบอกชื่อให้หลวงพ่อจรัญทราบว่า พระรูปนี้ชื่อ "หลวงพ่อขำ แห่งวัดเสาธงทอง บ้านแป้งไทย" ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ที่ได้ปัจจัยติดกัณฑ์เทศน์สะสมไว้เยอะมากทีเดียว แต่ในขณะที่ท่านมีปัจจัยเก็บสะสมเอาไว้มากมายนั้นแทนที่จะบริจาคออกไปเพื่อบำรุงเสนาสนะ วัดวาอารามต่างๆ ที่ตนเองปกครองดูแลอยู่ หรือจะนำไปสร้างสาธารณกุศลให้เกิดต่อประโยชน์ส่วนรวมก็เกิดความเสียดายขึ้น ความคิดแบบฆราวาสจึงกลับมาครอบงำจึงมุ่งหน้าสะสมปัจจัยเอาไว้ด้วยความโลภ ญาติพี่น้องของหลวงพ่อขำ เมื่อทราบว่าหลวงพ่อมีทรัพย์สมบัติจึงเจรจามาขอกู้ไปทำทุนทำไร่ยาสูบ โดยยินดีจะจ่ายเงินตามระบบกู้ยืม หลวงพ่อขำก็เห็นดีเห็นงามไปด้วยเพราะเงินงอกเงยเร็วและได้มาก แต่ทว่าการกู้เงินจากพระไปก็ไม่ได้ทำให้การทำไร่ยาสูบประสบความสำเร็จดังที่ต้องการ จึงไม่สามารถหาเงินมาคืนหลวงพ่อขำได้ มีการเจรจาขอผัดผ่อนเรื่อยมาจนกระทั่งหลวงพ่อถึงแก่กาลมรณภาพ พวกที่เป็นหนี้จึงไม่ต้องใช้หนี้

               ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้หลวงพ่อขำต้องคอยมาเดินตามทวงหนี้กับลูกหนี้แบบนี้เป็นเวลานานกว่า ๕๐-๖๐ ปีแล้ว และด้วยที่เห็นว่าโยมคนนี้เป็นคนที่ใจบุญสุนทาน จึงได้บอกตัวยาในการรักษาโรคบ้าให้กับผู้คนซึ่งมีทั้งหมด ๓๒ ชนิด เมื่อบอกตัวยาหมดแล้วท่านก็รำพึงพร้อมกับสั่งสอนว่า

"พ่อทิดเอ๋ย เป็นเวรเป็นกรรมของหลวงพ่อเหลือเกิน ตอนที่เป็นเจ้าอาวาสวัดเสาธงทอง เป็นพระนักเทศน์เป็นพระอุปัชฌาย์บวชนาคไม่มีพัก ปัจจัยก็ได้มาเรื่อยๆ พอหลวงพ่อตายแล้วเขาก็ทำศพให้ จน ๕๐-๖๐ ปีก็ยังไปหาที่เกิดไม่ได้ ได้แต่ตามทวงหนี้วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปไหนก็ไม่ได้เลย หิวน้ำอาหารก็ไม่มีจะฉัน ถ้าไม่เจอพ่อทิดแล้วก็คงจะต้องกระหายน้ำต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด จำไว้นะพ่อทิด เวลามีเงินมีทองก็หมั่นทำบุญให้ทานไว้บ้าง อย่าให้ใครเขากู้ยืมเอาไปเลยหาไม่จะเป็นอย่างหลวงพ่อต้องคอยตามทวงหนี้จนสบงจีวรขาดวิ่นร่องแร่งอยู่อย่างนี้เรื่อยไป"

              หลวงพ่อจรัญได้ฟังเรื่องเล่าของโยมจนจบยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้สืบหาความจริงให้ได้ต่อไป แต่โชคดีที่โยมคนนี้จำได้ว่า เจ้าอาวาสวัดเสาธงทองรูปปัจจุบันคือหลวงพ่อพวงก็ได้ตำรายาผีบอกนี้ไปเช่นกันจึงกราบเรียนถามหลวงพ่อจรัญว่า

"หลวงพ่อครับ วัดเสาธงทองกับวัดอัมพวันอยู่ใกล้กันหรือไม่ครับ"

"จะว่าใกล้ก็ใกล้อยู่นะโยม เพราะว่าอยู่ในเขตอำเภอ พรหมบุรี เหมือนกัน"

"ถ้าอย่างนั้นหลวงพ่อไปขอยากับเจ้าอาวาสพวง ที่วัดเสาธงทองเถิดครับ"

           ในความจริงหลวงพ่อจรัญไม่ได้ติดใจเรื่องตำรับยาอีกแล้วสิ่งที่ท่านสงสัยก็คือหลวงพ่อขำแห่งวัดเสาธงทองนั้นเป็นเปรตจริงหรือไม่ เมื่อกลับมาจากงานพุทธาภิเษกแล้ว เมื่อมีโอกาสจึงได้ไปพบกับหลวงพ่อพวง หลวงพ่อจรัญได้กราบเรียนถามกับหลวงพ่อพวงถึงอุปนิสัยของหลวงพ่อขำว่า เป็นอย่างไรโดยที่หลวงพ่อพวงก็กล่าวเล่าให้ฟังว่าหลวงพ่อขำนั้นเป็นพระอาจารย์ของท่านเองแต่ท่านเป็นพระที่มีความตระหนี่ถี่เหนียวที่ต้องยกให้

           ความตระหนี่ของหลวงพ่อขำนั้นขึ้นชื่อมาก ญาติโยมถวายอะไรให้ท่าน ท่านจะเก็บไว้จนแน่นกุฏิไม่ยอมแบ่งให้ใคร แม้แต่นมกระป๋องก็เก็บไว้จนแข็ง เสื่ออ่อนเป็นมัดๆ ก็ไม่ได้ใช้เปื่อยยุ่ยเสียทุกผืน ร่มมากมายในกุฏิก็เก็บไว้จนผุ เมื่อหลวงพ่อขำมรณภาพกรรมการวัดเข้าไปปรับปรุงกุฏิก็พบว่าท่านซ่อนเงินไว้เป็นจำนวนมากก็ได้เงินจำนวนนั้นเองนำมาสร้างศาลาบำรุงวัด

          เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ทำให้หลวงพ่อจรัญสิ้นความสงสัยเรื่องหลวงพ่อขำ อดีตเจ้าอาวาสวัดเสาธงทองแม้จะมรณภาพไปนานแล้วท่านก็ต้องไปผุดไปเกิดเป็นเปรตเพราะอกุศลกรรมด้านความตระหนี่และความโลภจนได้รับทุกขเวทนา อดอยากหิวโหยเป็นอันมาก การที่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงพ่อฤๅษีลิงดำและหลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโมได้นำมาถ่ายทอดเรื่องราวนี้ไว้ก็เพราะท่านต้องการชี้ให้เห็นว่า

          ถ้าใครที่ต้องการจะบวชเพื่อแสวงหาความรู้มาเป็นอาชีพ หรือเพื่อยศศักดิ์ เพื่อเป็นเหยื่อล่อสตรีที่เห็นว่าดีว่างาม และเพื่อลาภผลใดๆ  ก็จะมีที่ไปเป็นนรกดังเช่นท่านเจ้าคุณฯ ในเรื่องราวของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ  และหลวงพ่อขำจากเรื่องเล่าของหลวงพ่อจรัญนี้ทั้งสิ้น แต่ถ้าหากผู้ใดบวชแล้วปฏิบัติตามคำปฏิญาณที่ให้ไว้เมื่อวันบวชว่า "นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ปัพพาเชถะมัง ภันเต" ซึ่งแปลว่า "ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอรับผ้ากาสาวพัสตร์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน" แล้วก็จะมีโอกาสเข้าถึงพระนิพพานได้

          ในหลักของพระพุทธศาสนานั้น การบวชก็คือการมุ่งละกิเลส หากการบวชไม่ได้เป็นไปเพื่อค้นหาธรรม ก็ถือว่าการบวชนั้นเป็นการบวชที่ไม่ได้ประโยชน์ ไม่สร้างคุณค่าใดๆ แก่ตนเองซึ่งมีอยู่ ๔ ประเภทได้แก่

๑. อุปมุยหิกา คือผู้ที่บวชโดยหลงงมงาย สักแต่ว่าจะบวชตามผู้อื่น บวชไปตามกระแสโดยไม่มีความศรัทธาที่จะบวชอย่างแท้จริง

๒. อุปชีวิกา คือ การบวชโดยหวังจะใช้ผ้าเหลืองหาเลี้ยงชีพ ไม่อยากจะทำมาหากินอย่างอื่นจึงอาศัยผ้าเหลืองมาบวช ไม่สนใจปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

๓. อุปกีฬิกา คือผู้ที่บวชแล้วหาแต่เครื่องเล่นให้เกิดความเพลิดเพลินไปวันหนึ่งๆ เช่น มัวแต่สักยันต์ ใบ้หวย ให้เสน่ห์ยาแฝด ทำเครื่องรางของขลัง ปลุกเสกวัตถุโดยไม่ใส่ใจประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย

๔. อุปทูสิกา คือ ผู้ที่บวชแล้วทำเรื่องชั่วช้าเสียหายให้ศาสนาเสื่อม ไม่ได้บวชเพื่อทำให้ตนเองหมดเวรหมดภัย             

 

อ่านข่าวที่เกี่่ยวข้อง : ( ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเปรต!! หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เจอเปรตพระ..ที่วัดเม็งราย เกิดสงสัย "ท่าทางสงบทำไมถึงไปเกิดเป็นเปรตได้..? " )

             กรรมหนักของคนที่ปลอมบวช หรือบวชแล้วไม่ได้กระทำตนให้สมกับเป็นนักบวชนั้นจึงยิ่งเป็นภัยและกรรมที่หนักมากเพราะถือว่าเป็นการยกตนเองให้สูงโดยที่ตนเองไม่ได้มีคุณงามความดีสมกับการกราบไหว้ คนไหว้ก็ไม่ได้กุศลอะไร

อเวจีมหานรก นรกสำหรับผู้ทำอนันตริยกรรม

             กรรมที่เข้ามาบวชแล้วไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติธรรม อาศัยการบวชเพื่อการไม่สุจริตนั้นต้องลงอเวจีมหานรกสถานเดียว เพราะกรรมชนิดนี้เป็นบาปหนักที่ถือเป็น “อนันตริยกรรม” เทียบเท่ากับคนที่ฆ่าบิดามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้พระพุทธเจ้าห้อพระโลหิต ทำสังฆเภท คือ ยุยงสงฆ์ให้แตกแยกกัน เป็นผู้ทำลายพระพุทธรูป พระพุทธเจดีย์ ต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พวกติเตียนพระอริยสงฆ์ ซึ่งมีเจตนาจะทำลายพระพุทธศาสนาย่อมได้รับโทษร้ายแรงมาก

             กรรมก็เป็นดังเช่นอดีตท่านเจ้าคุณรูปนั้นโดยจะถูกนายนิรยบาลตรึงเสียบด้วยหลาวเหล็ก อันร้อนแรงทั้ง ๔ ด้าน จากซ้ายทะลุขวา หน้าทะลุหลัง ที่ศีรษะและเท้าถูกครอบตรึง ด้วยเหล็กที่ร้อนแรงอยู่ตลอดเวลา

 

 

 

 

ขอบคุณที่มาจาก : https://torthammarak.wordpress.com