ทุกข์ภัยดับได้ด้วยร่มพระบารมี! พระอาจารย์อารยะวังโส เทิดฯ ในหลวง ร.9  คือ “ราชาผู้ทรงธรรม” กับเหตุผลที่ทั่วโลกร่วมส่งใจน้อมถวายอาลัย

ติดตามเรื่องราวดีๆได้ที่ http://www.tnews.co.th

(บทความพิเศษ พระอาจารย์อารยะวังโส บรรยายธรรม)  

นับวันยิ่งเข้าใกล้วันที่ 26 ตุลาคมไปทุกที จึงเห็นกระแสคลื่นพสกนิกรหลั่งไหลไปสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายความเคารพพระสรีระของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ ๙ กันอย่างเนืองแน่น ด้วยใจดวงเดียวกัน คือ รักในหลวง รัชกาลที่9 ภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เสาหลักแห่งแผ่นดินไทยที่สืบเนื่องความสำคัญ เป็นศูนย์รวมจิตใจประชาไทยมายาวนานมากกว่า 700 ปีนับตั้งแต่กรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของราชอาณาจักรไทย...

จากอดีตถึงปัจจุบัน... เมื่อแผ่นดินไทยเข้าสู่วิกฤตจากเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองสกปรก การก่อการร้ายที่ไร้รูปแบบ .. กลุ่มคนที่ไร้ศีลธรรม (บางกลุ่ม) ประชาชนต่างพากันเดือดเนื้อร้อนใจในเหตุการณ์ต่างๆ ที่รุกรานให้สังคมสันติสุขของชาวไทย แปลเปลี่ยนสภาพให้วุ่นวาย เร่าร้อนไปด้วยไฟกิเลส ชาวไทยทุกหมู่เหล่าก็จะร้องหาร่มพระบารมีของพระราชาผู้ทรงธรรมเพื่อเป็นที่พึ่งพิงช่วยดับร้อนผ่อนคลายทุกข์…

 

ในวันนี้ ทางทีมข่าวได้รับทราบเกี่ยวกับคำบรรยาย อันสุดแสนประทับใจจนต้องการนำมาเผยแพร่ เกี่ยวกับ “ธรรมะแห่งพระราชา” โดย พระอาจารย์อารยะวังโส เจ้าอาวาสวัดป่าพุทธพจน์หริภุญไชยจ.ลำพูน  ซึ่งได้เมตตาบรรยายความรู้สึกนึกคิดเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ไว้ เมื่อไม่นานมานี้ว่า ...

“สิบกว่าปีที่ผ่านมาสังคม ประเทศชาติ เข้าสู่วิกฤตการณ์ความขัดแย้งและสังคมไทยแดนใต้ใน 5จังหวัด และปริมณฑลมีการก่อการร้าย ทำลายสังคมสงบสุขของพี่น้องชาวไทยพุทธและมุสลิมที่เคยมีมา ซึ่งล้วนเป็นวงศาคณาญาติกัน มีการปลุกปั่นยุยงทุกรูปแบบเพื่อสร้างความแตกแยก ดึงเอาศาสนาลงมาเป็นเครื่องมือ... จนนำไปสู่ความเข้าใจผิดว่า  “นี่เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาแห่งการทำลาย”  

เรื่องราวดังกล่าวผ่อนคลายลงได้ก็ด้วยพระบารมีของพระราชาผู้ทรงธรรม ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจชาวไทย... จนผ่านพ้นวิกฤตการรุนแรงมาได้ถึงปัจจุบัน  แม้ว่าปัญหายังไม่จบสิ้น แต่ก็อยู่ในภาวะที่รับมือได้ เพื่อก้าวย่างออกไปจากปัญหานี่ก็ด้วยร่มพระบารมี

การพยายามปลุกเร้าให้เกิด “สงครามศาสนา” ในแดนใต้ แม้จะดำเนินไปอย่างมีแบบแผนมีขั้นตอน ดังที่เห็นการฆ่าทำลายศพแล้วศพเล่า ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยพุทธหรือมุสลิม เพื่อต้องการยกระดับสู่ความขัดแย้งระหว่างศาสนา... แต่ก็ด้วยพระเจ้าแผ่นดินของชาวไทยทรงเป็น “องค์ศาสนูปถัมภก” พระราชทานการสนับสนุนในกิจการของทุกศาสนาไม่ทรงเลือกที่รักมักที่ชัง แม้จะแสดงตนเป็นพุทธมามกะนับถือศาสนาพุทธ...  เรื่องราวต่างๆ จึงบรรเทาเบาบางหรือดับสิ้นไปได้ด้วยความเป็น “พระธรรมราชา” ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม ...”  

 

ดั่งถ้อยพระราชดำรัสคุ้นหูชาวไทย "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"  ซึ่งตรัสจากพระราชหฤทัย เมื่อคราวเสด็จขึ้นครองราชย์ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกนั้น พระอาจารย์อารยะวังโส ได้เมตตาบรรยายเพิ่มเติม เพื่อยืนยันว่าทรงครองคุณธรรมและทรงยึดถือปฏิบัติ ดังเช่นที่เคยตรัสมาตลอดพระชนม์ชีพ ... ดังถ้อยความว่า ...

 

“พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองดูแลในกิจการของทุกศาสนา ในหมู่ชนทุกภาค แม้ในสัตว์เดรัจฉานธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมทั้งหลายโดยทรงตั้งพระองค์อยู่ในราชธรรม... ทรงประพฤติธรรมให้ความเคารพธรรม... ทรงปฎิบัติธรรมต่อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายตามฐานะแม้ในสิ่งแวดล้อมป่าไม้ ภูเขา ต้นน้ำลำธาร แผ่นดิน พืชพรรณธัญญาหารทั้งหลาย ... แม้ในเทพยดาอารักษ์ สัตว์ทั้งหลายในภพภูมิ ด้วยวิถีแห่งปัญญาตามหลักกุศลปฏิบัติในพระพุทธศาสนา...เพื่อแผ่ร่มพระบารมีคุ้มครองไปทั่วแผ่นดินไทยอย่างทั่วถึงเสมอกัน...”

“สันติ” กับ “สติปัญญา” เป็นหลักธรรมที่ทรงนำมาประกาศเป็นพระราโชบาย... พระราชทานแนวทางปฏิบัติด้วยการดำเนินไปอย่างมีสติปัญญาในพสกนิกรชาวไทยทุกหมู่เหล่าทุกศาสนา... เพื่อสันติสุขในชีวิต และสังคมประเทศชาติดังปรากฏอยู่ในรูปพระราชดำรัสเพื่อชี้หนทางอันควรแก่การนำไปสู่การพัฒนาชีวิตและ พัฒนาสังคมประเทศชาติอย่างทั่วถึงกันในทุกเขตแดนภายใต้ร่มพระบารมีเดียวกันสังคมไทยจึงดำเนินผ่านนานาปัญหาอุปสรรคได้อย่างไม่ชอบช้ำเสียหายจนถึงปัจจุบัน

การพัฒนาจิตใจ... สู่การพัฒนาคน... และการพัฒนาประเทศชาติเพื่อความเจริญรุ่งเรือง..ความสงบสุขของแผ่นดินจึงเกิด ขึ้น อย่างเป็นระบบ โดย ทรง เป็น เนติ ฉบับ สำหรับ บุคคลที่มั่นคงอยู่ในธรรม ประพฤติปฏิบัติ อยู่ในศีล ดำเนินชีวิต อย่าง มีสติ ปัญญา เพื่อการเข้าถึง เข้าใจในความเป็นสัจธรรม เพื่อการพัฒนาชีวิตสังคม ให้มีดุลยภาพ จึงเกิดเป็นปรัชญาชีวิต ในวิถีแห่งทางสายกลาง ที่นำไปสู่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ทั่วโลกยอมรับ สรรเสริญแซ่ซ้อง จนได้รับการยกย่องเทิดพระเกียรติจากองค์กรสหประชาชาติว่า ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของโลก ร่มพระบารมีด้วยพระสติปัญญาและวิริยะอันเป็นเลิศจึงแผ่ไปสู่นานาประเทศอย่างน่าอัศจรรย์

จึงไม่แปลกใจเลยตามที่กล่าวว่าทำไมวันนี้พสกนิกรชาวไทยและประชาคมโลกได้แสดงความรักความอาลัยกันอย่างต่อเนื่อง...

ยิ่งนับวันยิ่งปรากฏพระเกียรติคุณหอมฟุ้งขจรกระจายไปทั่วสารทิศ สมกับคำกล่าวที่ว่า กลิ่นสัตบุรุษหอมตามลมหอมทวนลมไปทั่วทุกสารทิศ ด้วยกลิ่นศีล ด้วยกลิ่นธรรมที่ปฏิบัติทรงเป็นร่มพระบารมีธรรมของพระราชาผู้ทรงธรรมอย่างแท้จริง