อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเรื่อง”ยาแฝด” ซึ่งเป็นการทำเสน่ห์อย่างหนึ่งค่ะ จุดประสงค์ คือ ทำเพื่อให้ชายคนที่ตนหมายปองอยู่นั้นบังเกิดความรักและลุ่มหลงในตัวผู้กระทำอย่างโงหัวไม่ขึ้นเลยทีเดียว การทำเสน่ห์ทางไสยศาสตร์ของคนโบราณมีด้วยกันอยู่หลายวิธี แต่ที่เรียกว่า”เสน่ห์ยาแฝด”นี้ หมายถึงการทำเสน่ห์โดยทำยาผสมให้กิน เมื่อผู้ใดกินเข้าไปแล้ว ก็จะบังเกิดความรักและโหยหาในตัวผู้กระทำ ถึงกับต้องมาหากันในทันใด คนโบราณว่าไว้…”ใครถูกยาแฝด หากว่าอยู่ไกลมากก็ไม่เกินสามวัน ถ้าอยู่ในระยะใกล้ๆก็ไม่เกินชั่วหม้อข้าวเดือด ย่อมทนอยู่ไม่ได้ จะต้องร้อนรีบมาหากันในทีทันใด” ทีนี้เรามาดูกันค่ะว่า เสน่ห์ยาแฝด นั้นมีวิธีการทำอย่างไรบ้าง แล้วมีวิธีทำอยู่กี่วิธี  มีวิธีการแก้ไขอย่างไร และผู้ที่โดน เสน่ห์ยาแฝด จะเกิดผลข้างเคียงในลักษณะใดบ้าง เชิญรับชมได้ดังต่อไปนี้ค่ะ

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

 

วิธีทำ

วิธีที่ 1
ยาแฝดเป็นความเชื่อโบราณ เมื่อกาลเวลาผ่านไปจึงค่อย ๆ สูญไปทีละน้อย ผู้รู้แต่ก่อนก็มักปกปิดไม่เปิดเผยเพราะเกรงจะมีผู้เอาไปทำแล้วเกิดบาปแก่ตัวเอง แต่จากที่มีบันทึกไว้ในสมุดข่อยตกทอดมาถึงปัจจุบันพบว่า มีวิธีการทำหลายวิธี วิธีหนึ่งคือนำ ลูกสวาดมาล้วงเอาไส้ข้างในออก แล้วให้ผู้กระทำลงไปอาบน้ำในอ่าง ขัดสีร่างกายให้ทั่ว แล้วรอให้น้ำตกตะกอน จากนั้นจึงรินน้ำออกช้อนเอาแต่ตะกอนคราบไคลในตัวมาจำนวนหนึ่งผสมกับชะมด พิมเสนและของหอม ยัดใส่ในลูกสวาดนั้นแล้วปิดผนึกด้วยขี้ผึ้ง แล้วจึงกลืนเข้าไปในท้อง เมื่อจะถ่ายอุจจาระให้คอยดูเมื่อถ่ายออกมาได้แล้วจึงนำลูกสวาดนั้นมาชำระล้างแล้วเอาเผาไฟให้ไหม้ เสกด้วยคาถาแล้วใส่ให้ผู้ที่เราปรารถนากินเข้าไปจะรักเราจนวันตาย ตัวยาที่ใช้ทำยาแฝดมีหลายอย่าง บางตำรับให้ใช้ลูกลำโพงบ้าง หรือไคลกลางใจมือใจเท้าทั้งสองข้าง เลือดจากหน้าอก ไปจนถึงเถ้ากระดูกผีพราย ส่วนผสมเหล่านี้ทำยาแล้วเสกด้วยคาถาเอาใส่ให้กิน เรียกว่ายาแฝด ทำให้ลุ่มหลงมัวเมาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

วิธีที่ 2
เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่คนโบราณว่าไว้ดังนี้ คือ ให้เอาตะไคร่จากเสมาหน้าพระอุโบสถ ตะไคร่จากเสาตะลุงช้าง (หมายถึงเสาหลักที่เขาผูกช้างเอาไว้เสมอ) และขี้เหงื่อขี้ไคลจากตัวเราที่ขัดตอนอาบน้ำ เอาส่วนผสมเท่า ๆ กันมาผสมเข้าด้วยกัน แล้วใส่ในเมล็ดสวาด เมล็ดสวาดนี้ให้เจาะเป็นรูเล็ก ๆ แล้วล้วงเอาไส้ในออก เมื่อบรรจุเข้าไปแล้วอุดด้วยขี้ผึ้ง จากนั้นให้กลืนเข้าไปในท้อง รอจนถ่ายอุจจาระให้หาดูเพราะเมล็ดสวาทจะไม่ย่อยสลาย จากนั้นเอามาล้างน้ำให้สะอาดแล้วเผาไฟให้เป็นถ่าน บดเป็นผงละเอียด แล้วเสกด้วยมนต์คาถา โอมจิตคิดถึงลำโพง กูจะเสกให้ช้างกินช้างก็ลืมโขลง กูจะเสกให้โขลงกินโขลงก็ลืมไพร (เอ่ยชื่อคนที่เรารัก) อยู่มิได้ร้องไห้มาหากู โอมสวาหะ เสกให้ได้ครบ 3 วันเสาร์แล้วเอาผสมอาหารให้กิน คนผู้นั้นจะรักและหลงอย่าง
ถอนตัวไม่ขึ้น

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

 

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

วิธีที่ 3

ใช้ลูกลำโพงกาสลัก ซึ่งเป็นพืชชนิดหนึ่ง มีเคล็ดว่าเมื่อเด็ดลูกมาแล้วให้รีบหันกลับไปจากที่นั้น ห้ามหันหลังไปดูโดยเด็ดขาด เอาลูกลำโพงมาผสมกับขี้ไคลในตัวเรา เช่น ไคลจากใจมือใจเท้าทั้งสองข้าง ไคลจากที่ลับ เป็นต้น บดผสมกันแล้วเสกด้วยคาถา โอมพญาลำโพง ช้างกินลืมโรง โขลงกินก็ลืมไพร สาวแก่แม่หม้าย บุรุษผู้ใดกินเข้าไป ให้ร้องไห้มิพักอัดแอ ลืมพ่อลืมแม่ ปู่เจ้าเขาเขียวปู่เจ้าสมิงไพร ให้ไว้แก่กู สิทธิสวาหะ แล้วลอบใส่ในอาหารหรือในน้ำให้กิน ตำราว่าใครกินเข้าไปรักเราจนวันตาย ถ้าให้รักทั้งเรือนเอายาใส่ลงในตุ่มน้ำให้กินรักทั้งเรือน ตัวยาที่ใช้มีหลายชนิดที่แตกต่างกันออกไป บางทีให้ใส่เลือดในหัวอกหรือท้องน่องของผู้กระทำลงไปด้วยเล็กน้อย เพื่อเป็นเคล็ดว่าเรารักเขาเสมือนเลือดในหัวอก บางตำราให้ผสมผงกระดูกจากศพที่ตายวันเสาร์เผาวันอังคารลงไปด้วยก็มี

วิธีที่ 4

อีกอย่างเรียกว่า หงส์ร่อนมังกรรำ เป็นวิธีที่ผู้หญิงจะใช้กับผู้ชายโดยเฉพาะ วิธีนี้คือการเอาอาหารที่เขาจะรับประทาน ตอนยังร้อน ๆ อยู่ เอาใส่ไว้ใต้หว่างขา โบราณให้ปลดโจงกระเบนยกขึ้นอังไว้ให้พออากาศผ่าน เมื่อไอร้อนโดนความเย็นด้านในก็จะกลั่นตัวเป็นหยดน้ำลงในหม้อ ทำอาการอย่างนี้เรียกว่าหงส์ร่อนมังกรรำ แล้วเอาให้รับประทาน ผู้ชายจะหลงจนโงหัวไม่ขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิธีอย่างอื่นอีกหลากหลายวิธีด้วยกันค่ะ 


ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น
แก้ไขการทำเสน่ห์ด้วยยาแฝดนี้ ทำให้รักหลงได้แต่โบราณก็ว่า มีผลข้างเคียงกับผู้ถูกกระทำ กล่าวคือ ในเบื้องต้น ผู้ถูกยาแฝดจะมีใบหน้าขาวซีด ขอบตาคล้ำปราศจากสง่าราศี หรือใบหน้าเป็นฝ้า มีอาการบ่นเพ้อหาโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนอาจถึงคลุ้มคลั่งมีอาการเหมือนวิกลจริต นานวันยิ่งอาการหนักขึ้นจนอาจถึงเสียสติ โบราณจึงห้ามนักหนาว่าไม่ควรทำเพราะเป็นบาปแก่ตัวมาก

วิธีแก้

คนถูกเสน่ห์ยาแฝด ให้กินน้ำใต้ท้องเรือจ้าง 7 ลำจึงหาย อันนี้ไม่ทราบเป็นข้อเท็จจริงหรือเพียงคำเปรียบเปรยของคนยุคก่อน แต่โดยมากในทางไสยศาสตร์มักแก้โดยการรดน้ำมนตร์ธรณีสาร น้ำมนตร์โองการพระมหาเถรตำแย หรือทำน้ำมนตร์ด้วยคาถาถอนโบสถ์ถอนสีมา ฯลฯ อาบตัวผู้นั้นตลอดจนให้กินเข้าไป หากอาการหนักอาจมียาหม้อสมุนไพรที่เสกด้วยคุณพระประกอบให้ต้มกินจนกว่าจะหาย คนสมัยก่อนเมื่อไปบ้านหญิงหรือไปต่างถิ่นต่างแดน มักระวังตัวเรื่องยาแฝดหรือยาสั่ง จึงมักมีคาถาปัองกันตัว คาถาที่ใช้ป้องกันคือ สมุหเนยฺย สมุหนติ สมุหคโต สีมาคตํ พทฺธเสมายํ สมุหนิพตพฺโพ เอวํ เอหิ นะเคลื่อน โมถอน พุทคลอน ธาเคลื่อน ยะเลื่อนหลุดหาย คาถานี้ถ้าสงสัยว่าอาหารมียาแฝดหรือยาสั่งใด ๆ ให้เสกถอนด้วยคาถาดังกล่าว ก็จะเสื่อมคลายสิ้นไป ปัจจุบันความเชื่อเหล่านี้คงเหลืออยู่น้อยมาก แต่ผู้เขียนขอย้ำเสริมอย่างหนักแน่นเลยค่ะ ว่า ยาแฝด อาถรรพ์เวท คุณไสย ไสยศาสตร์ มนตร์ดำ ยังมีอยู่มากในปัจจุบันและทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆเนื่องจากคนสมัยนี้จิตสำนึกจมอยู่กับกิเลสเสียส่วนใหญ่และ ยึดติดอยู่กับกิเลส ยกเอากิเลสเป็นสรณะ นั่นเองค่ะ ฉะนั้นไม่เชื่ออย่าลบหลู่เป็นดีที่สุดนะคะ!!ผู้เขียนโดนมาแล้วเต็ม แบบชนิดที่ถอน ออกมาเป็นรูปนาคเกี้ยว ผู้ที่ทำพิธีล้างอาถรรพ์ถอนของออกให้ อธิบายว่า ผู้ที่ทำต้องการทำเพื่อหวังประโยชน์จากตัวผู้เขียน เนื่องจากผู้เขียนเป็นบุคคลที่พอมีฐานะอยู่บ้าง จึงเป็นสิ่งล่อแหลมให้อมนุษย์เหล่านี้ ทำทุกอย่างเพื่อกอบโกยเอาผลประโยชน์ และมัดไว้ให้วนเวียนทุ่มเทอยู่แต่ตรงนั้น ความหมาย คือ ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีก็ต้องไปหาเขา เห็นไหมว่า อมนุษย์เหล่านี้มันคือพวกมิจฉาชีพในคราบนักบุญ แสดงเป็นคนดี แต่เนื้อในคือปีศาจดีๆนี่เอง ที่ผู้เขียนนำประสบการณ์ส่วนตัวมาเล่าก็เพื่อเป็นวิทยาทานสำหรับผู้ที่เข้ามาอ่านบทความนี้ค่ะ แต่ไม่มีเจตนาจักจูงให้ผู้ใดเกิดความงมงาย ควรใช้วิจารณญาณในการเสพสาระข้อมูลบทความนี้อย่างละเอียดด้วยค่ะ แล้วพบกันได้ใหม่ในบทความหน้านะคะ

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

 

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

 

อาถรรพ์สวาท! "เสน่ห์ยาแฝด"มีที่มาอย่างไร?...วิธีแก้ไขป้องกัน

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,ข้อมูลส่วนตัว,และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)
จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์