ย้อนรอย!  "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

ย้อนรอย! "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

วันนี้ผู้เขียนขอนำ“ตำนานอาถรรพ์ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาให้ท่านผู้ชมได้อ่านกันค่ะ เอาล่ะเรามาดูกันว่าเรื่องราวของ…“ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” นั้นมีความเป็นมาอย่างไร?แล้วเพราะอะไรทำไมจึงต้องทำหน้าที่เป็น….ปู่โสมเฝ้าทรัพย์? เชิญรับชมได้ดังต่อไปนี้ค่ะ…

 

ย้อนรอย!  "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ เป็นชื่อที่ใช้เรียกผีหรือวิญญาณที่ทำหน้าที่เฝ้าทรัพย์สมบัติที่เป็นสมบัติล้ำค่าหรือสมบัติของชาติ เช่น กรุสมบัติในอาณาจักรอยุธยา เป็นต้น ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ทำหน้าที่คล้ายๆกับเจ้าที่เจ้าทาง หรือ เทพารักษ์ ที่พิทักษ์ทรัพย์สมบัติเหล่านี้เอาไว้

“มีผู้ใหญ่เล่าว่า สมัยโบราณเมื่อข้าศึกมาล้อมบ้านล้อมเมือง ผู้มีทรัพย์ก็นำไปฝังไว้ในที่ลึกลับต่างๆ ผู้มีบริวารมากก็หอบหิ้วสมบัติเข้าไปในป่าห่างไกล เล่ากันว่าครั้งหนึ่งนายโสมหัวหน้าคนสนิทของขุนนางผู้ใหญ่นำทรัพย์สมบัติมีค่าเป็นอันมากไปซ่อนไว้ในถ้ำ นายโสมฆ่าพวกพ้องของตนจนตายหมด เหลือนายโสมคนเดียว เมื่อกรุงแตกสูญหายกันไป ไม่มีใครมารับของกลับคืน นายโสมก็ตายอยู่กับสมบัติเหล่านั้น วิญญาณนายโสมเฝ้าทรัพย์อยู่ตลอดมา..มีผู้กล่าวว่าสำหรับในป่าเขาลำเนาไพรอันลี้ลับ น่าจะยังมีทรัพย์ล้ำค่ามหาศาลซ่อนอยู่มากมาย ผู้ที่ไปพบเห็นก็เป็นพระธุดงค์ไม่มีเยื่อใยในสิ่งนั้นอีกแล้ว”


เรื่องราวของ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักกันดี จนกลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ นั้นเกิดขึ้นในราวปี พ.ศ. 2500–01 ที่กรุสมบัติวัดราชบูรณะ เมื่อมีโจรกลุ่มหนึ่งลักลอบเข้าไปขุดค้นหาสมบัติโบราณภายในวัดราชบูรณะ ซึ่งว่ากันว่าโจรกลุ่มนี้ใช้เวลานานถึง 3 วัน ในการขุดหาสมบัติภายใน วัดราชบูรณะ เนื่องจากบริเวณนี้มีทรัพย์สมบัติฝังอยู่เป็นจำนวนมากมายมหาศาล

แต่ทว่าในขณะที่โจรกลุ่มนี้ลักลอบนำทรัพย์สมบัติที่ขุดได้ออกมานอกพื้นที่เขตวัดราชบูรณะ ก็ได้บังเกิดมีปาฏิหารย์ขึ้นมาโดยเฉพาะ”พระแสงขรรค์ชัยศรี” ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ ได้เกิดส่องแสงแวววับขึ้นมา และขณะเดียวกันบรรยายกาศของท้องฟ้าขณะนั้นก็เกิดวิปริตแปรปรวนอย่างหนัก

ซึ่งต่อมาหนึ่งในกลุ่มโจรผู้ลักลอบเข้าไปขุดเอาทรัพย์สมบัติ ที่วัดราชบูรณะ
ก็เดินทางเข้ามาพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในสภาพเมามาย และยอมรับสารภาพว่าตนเป็นผู้ที่เข้าไปขุดค้นหาเอาทรัพย์สมบัติที่วัดราชบูรณะเอง และ ได้นำเอาของทั้งหมดที่ขโมยขุดเอามาได้ส่งมอบคืนให้แก่ทางเจ้าหน้าที่…

ย้อนรอย!  "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

ซึ่งว่ากันว่าผู้ที่ร่วมขบวนการลักลอบขุดเอาทรัพย์สมบัติในครั้งนั้นต่างก็อันเป็นไปต่าง ๆ นานา เช่น เสียสติไปรำดาบอยู่กลางตลาด และ ร้านที่รับซื้อทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไว้ก็ต้องมีอันล้มเลิกกิจการไปเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งตรงนี้ผู้เขียนสัณฐานว่า ทางร้านที่รับซื้อของจากโจรกลุ่มนี้น่าจะพบเจอกับสิ่งอาถรรพ์ที่น่าสะพรึงกลัวจนทนไม่ไหวถึงกับปิดกิจการหนีสิ่งที่เขาพบเจอเข้ากับตัวเองก็เป็นได้

จากที่ผู้เขียนได้สืบค้นทราบมาว่า ของกลางที่ถูกโจรกลุ่มนี้ขโมยขุดเอาไปนั้นปัจจุบันได้คืนมาเพียงแค่ร้อยละ 20 เท่านั้นเองค่ะท่านผู้ชม โดยถูกนำไปจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา ทั้งนี้ผู้คนต่างเชื่อกันว่าเกิดจากการดลบันดาลของปู่โสมเฝ้าทรัพย์ หรือ จะเรียกอีกอย่างว่าอาถรรพ์อาฆาตพยาบาทของ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ก็ได้ค่ะ

ย้อนรอย!  "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

และเรื่องนี้ก็มีบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เคยเผชิญหน้ากับปู่โสมเฝ้าทรัพย์ ด้วยค่ะ
ซึ่งได้แก่ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพีรพงศ์ภาณุเดช หรือ พระองค์พีระ นักแข่งรถสูตรหนึ่งชาวไทยที่มีชื่อเสียงในยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านเคยได้ประทานสัมภาษณ์เรื่องราวนี้ด้วยตัวพระองค์ท่านเองเมื่อปี พ.ศ. 2504 ต่อหน้าที่ประชุม ณ สมาคมค้นคว้าทางจิตแห่งประเทศไทย ว่าราวกลางเดือนธันวาคม พ.ศ. 2503 ความที่ท่านเป็นผู้ไม่เชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณ

ท่านเคยได้ใช้เครื่องมือจากต่างประเทศที่ทันสมัยในขณะนั้น คือ ไมน์ ดีเทกเตอร์ (Mine detecter) ซึ่งสามารถใช้ขุดหาแร่ธาตุหรือวัตถุต่าง ๆที่อยู่ในใต้ดินได้ลึกถึง 20 เมตร ขณะขุดค้นที่โบสถ์ร้างของวัดกุฎีดาว ตามข้อตกลงกับกรมศิลปากรว่าหากขุดค้นพบทรัพย์สมบัติใด ๆ แล้ว จะมอบให้แก่รัฐร้อยละ 90 และ ตกเป็นของท่านเองร้อยละ 10 ค่ะ

แต่ปรากฏว่าพระองค์ท่านใช้เครื่อง ไมน์ ดีเทกเตอร์ (Mine detecter) ขุดหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จึงมีผู้บอกว่า เพราะท่านไม่ได้บวงสรวงหรือขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อน ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ จึงดลบันดาลให้ทรัพย์สมบัตินั้นเคลื่อนที่หนีได้ แต่ทว่า พระองค์พีระ ก็ไม่ได้ใส่พระทัย ด้วยความที่ไม่เชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณ นั่นเอง

โดยหลังจากพระองค์พีระได้ขุดค้นพบของมีค่าแล้ว พระองค์ท่านและพระชายาก็ได้เดินทางกลับวังที่ประทับ ที่ถนนสุขุมวิท อำเภอพระโขนง ทันที
และในคืนนั้นเอง!!!ท่านก็ได้ยินเสียงดัง "ฉึก ฉึก" คล้ายกับคนขุดดินอยู่ภายนอก เมื่อท่านออกไปทอดพระเนตรดูก็ไม่พบ แต่เสียงนั่นก็ยังคงดังอยู่และเปลี่ยนต้นตอของเสียงไปเรื่อยๆได้ด้วย แม้กระทั่งอยู่เหนือพระเศียรห้องบรรทม จนกระทั่งเช้า เมื่อท่านได้ไปตรวจดูก็ไม่พบร่องรอยใด ๆ ทั้งสิ้นค่ะ

ต่อมาในเวลาโพล้เพล้ ที่วัดกุฎีดาว ช่วงขณะที่มีการขุดพบวัตถุมีค่าอีกชิ้นหนึ่ง ในขณะที่ท่านเงยพระพักตร์ขึ้นมา ท่านก็ได้มองเห็นร่างๆหนึ่งที่พุ่มไม้เล็ก ๆ หน้าโบสถ์ เหมือนมนุษย์ผู้ชายตัวสูงใหญ่ล่ำสันผิดกับมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่งกายเหมือนนักรบโบราณ สวมเสื้อแขนกระบอกกางเกงขาลีบ ๆ สั้น ๆ สีน้ำเงินเข้มทั้งชุด มีแขนใหญ่และลำคอใหญ่ แต่ทว่าไม่มีส่วนศีรษะ ท่านก็ได้รำพึงออกมาว่า "ผีนี่นา" แต่ท่านก็มิได้ตกพระทัย และได้ยังเดินไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าจุดที่ร่างนั้นปรากฏแท้จริงแล้วเป็นไม้ขนาดใหญ่ แต่ขึ้นในแอ่งด้านล่างจึงเห็นเป็นพุ่มไป

เมื่อท่านได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้แก่ชาวบ้านระแวกนั้นฟัง เหล่าชาวบ้านต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่านั่นคือ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” แสดงว่าพระองค์ท่านเกือบจะขุดพบทรัพย์สมบัติแล้ว!!! และเมื่อท่านได้นำเรื่องนี้ไปเล่าให้พระสหายชาวต่างชาติที่ร่วมคณะในการขุดครั้งนี้ฟังด้วย พระสหายผู้นั้นก็เล่าว่า ตัวเขาเองก็เห็นผีหัวขาดปรากฏตัวเหมือนกัน

 ต่อมาท่านได้นำความเรื่องไปเล่าให้แก่พระสงฆ์รูปหนึ่งที่มีอภิญญาสูงฟัง ภิกษุพระสงฆ์ ท่านจึงได้เฉลยแด่พระองค์ท่านว่า ผีหัวขาดที่พระองค์เห็นนั้น เป็นทหารของพระเจ้าอู่ทอง ชื่อ "ผาด" และได้สาบแช่งแก่ผู้ที่มาขุดค้นเอาทรัพย์สมบัติ

 ซึ่งหลังจากนั้นไม่นานพระสหายชาวต่างชาติผู้นั้นของท่านก็เสียชีวิตลงในวัยอันไม่สมควร ส่วนตัวพระองค์ท่านเองเมื่อประกอบธุรกิจการค้าก็ไม่ประสบความสำเร็จอีกด้วย พระองค์พีระ ได้ยอมรับว่า เมื่อก่อนตัวท่านไม่เคยมีความเชื่อในเรื่องภูติผีวิญญาณ แต่บัดนี้ท่านเชื่อแล้ว เพราะได้ประสบมาด้วยตัวเอง!!

ทว่าอย่างไรก็ตามในทัศนะของนักวิชาการ แห่งภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เชื่อว่า ความเชื่อเรื่อง…“ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ “นั้น ไม่น่าจะมีอยู่จริงในความเชื่อของชาวอยุธยาร่วมสมัย เนื่องจากอ้างอิงจากหลักฐานรายชื่อผีที่ปรากฏอยู่ใน “พระไอยการเบ็ดเสร็จ” นั้นไม่พบว่า มีการบันทึกถึง”ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” หรือผีเฝ้าสมบัติ แต่อย่างใด รวมถึงความเชื่อนี้ก็ขัดต่อความเชื่อในคติของพุทธศาสนา นิกายเถรวาท ที่ชาวอยุธยาเชื่อถืออีกด้วย เนื่องจากนิกายเถรวาทไม่เชื่อในเรื่องของอันตรภพ เมื่อตายไปแล้วจะไปเกิดยังภพภูมิตามยถากรรม จึงสันนิษฐานว่า ความเชื่อนี้คงมาจากประเทศอินเดีย หรือเกิดจากการสร้างเป็นละครโทรทัศน์จนผู้คนเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริงค่ะ

ย้อนรอย!  "ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" ตำนานอาถรรพ์...สุดสะพรึง ที่เชื้อพระวงศ์ไทย ประสพมาด้วยตนเอง!

ท่านผู้ชมคะ สำหรับเรื่องราวของ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์”นั้นได้ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยของไทยหลายประการ และ ได้ถูกสร้างขึ้นเป็นภาพยนตร์ ตลอดจนละครโทรทัศน์หลายครั้ง เช่น” ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ทางช่อง 7 เมื่อปี พ.ศ. 2550 นำแสดงโดย สันติ วีระบุญชัย, สุวนันท์ คงยิ่ง ,ภูธฤทธิ์ พรหมบันดาล และ ถูกนำมาดัดแปลงเป็นนวนิยายโดยทมยันตี และถูกสร้างเป็นละครโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมมากในช่วงกลางปี พ.ศ. 2559 เรื่อง พิษสวาท ทางช่องวัน เป็นต้นค่ะ

 

 

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,พันทิป,ศิลปวัฒนธรรม, และข้อมูลเพิ่มเติม(บางส่วน)
จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย: โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์