คำอำลาสุดท้าย! ถ้อยคำแห่งความรักที่ตราตรึงในหัวใจ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ที่คนไทยไม่มีวันลืม

รู้จริง... รู้แจ้ง... ทุกเรื่องราวพระอริยสงฆ์   http://www.tnews.co.th

คำอำลาสุดท้าย! ถ้อยคำแห่งความรักที่ตราตรึงในหัวใจ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ที่คนไทยไม่มีวันลืม

คุณพุ่ม เจนเซน เป็พระโอรส ของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี  เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๒๖ ที่ สหรัฐอมเริกา และได้ถึงแก่ อนิจกรรมในเหตุการณ์คลื่นสึนามิ เนื่องจากแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๔๗ สิริอายุ ๒๑ ปี ขณะที่เล่นเจ็ตสกีอยู่ที่ชายหาดโรงแรมมันดะเลย์รีสอร์ต บ้านเขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา โดยได้พบศพเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ข้างแท็งก์น้ำหลังโรงแรมลาฟลอร่า ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา.. และได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๔๘ ณ วัดเทพศิรินทราวาส 
 

คำอำลาสุดท้าย! ถ้อยคำแห่งความรักที่ตราตรึงในหัวใจ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ที่คนไทยไม่มีวันลืม
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ได้ทรงลาออกจากฐานันดรศักดิ์ เพื่อสมรสกับนายปีเตอร์ เลด เจนเซน ชาวอเมริกัน โดยทรงมีพระโอรสและพระธิดา ๓ องค์ คือ คุณพลอยไพลิน ,คุณพุ่ม และคุณใหม่ สิริกิติยา เจนเซน ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ทรงเคยประทานสัมภาษณ์ถึงการเลี้ยงดูพระโอรส คุณพุ่ม เจนเซน ว่า
สำหรับคุณพุ่มนั้น ทูลกระหม่อมฯ ทรงกล่าวว่า ตอนแรกเกิดตัวอ้วน น่ารักมาก แต่กว่าจะรู้ว่ามีอาการผิดปกติ คุณพุ่มก็อายุขวบกว่าแล้ว คือ ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยมองหน้าคน ตอนแรกทูลกระหม่อมยังทรงคิดว่า คุณพุ่มเป็นแค่เป็นเด็กไฮเปอร์ ดูยุ่งวุ่นวาย วิ่งไปวิ่งมา พาไปหาหมอที่ซานดิเอโก้ หมอก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร
“ตอนที่เกิดมาก็ไม่ทราบ เพราะว่าเกิดมาก็แข็งแรงดี แข็งแรงกว่าเด็กอื่นๆ เพราะเวลาเด็กเกิดเขาจะมีการเทสต์ แล้วน้องพุ่มก็ได้สกอร์สูง ทุกอย่างแข็งแรงหมด แต่ตอนเด็กๆ จะเป็นเด็กที่ไม่ค่อยร้องไห้ ชอบนอนกลางวัน กลางคืนไม่นอน แต่ก็แข็งแรงดี ไม่มีอะไรที่จะผิดแปลกไป นอกจากพอสักประมาณขวบครึ่ง เกือบๆ 2 ขวบ ก็สังเกตว่ายุ่งมาก แล้วก็ไม่ค่อยพูด ..ก็เริ่มไปถามหมอที่ดูแลอยู่ว่าทำไมเขาไม่พูด ไม่มีใครรู้ว่าเป็นอะไร หมอก็ไม่บอก คล้ายๆ ว่า ถ้าไม่พูดก็อาจจะไม่ได้ยิน ก็พาไปเทสต์หูว่าหูหนวกหรือเปล่า แต่น้องพุ่มหูไวมาก เราก็บอกหมอว่า น้องพุ่มหูไวมาก เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ได้ยิน แต่หมอก็ไม่รู้ ปีแล้วปีเล่าก็ไม่ทราบว่าเป็นอะไร”
หลังจากนั้นทูลกระหม่อมฯ ก็พาคุณพุ่มไปหาจิตแพทย์ ซึ่งก็ได้รับคำยืนยันว่า คุณพุ่มไม่ได้เป็นออทิสติก แต่เป็น A.A.D.(Attention Deficit Disorder) คือ ไม่สามารถที่จะมีสมาธิอยู่กับอะไรได้ ทำให้เวลาคุณพุ่มไปโรงเรียนอนุบาล ก็ต้องมีพี่เลี้ยงไปด้วยตลอด พยายามหาทางรักษาอยู่เป็นปี จนในที่สุด ก็ทราบว่า คุณพุ่มเป็นออทิสติกจริงๆ ความรู้สึกในฐานะแม่ตอนนั้น แม้จะเสียใจ แต่ก็ต้องทรงทำใจให้นิ่ง และบอกกับพระองค์เองว่า จะพยายามช่วยให้ลูกหายจากออทิสติก หากไม่หาย ก็จะพยายามทำให้ลูกมีความสุขที่สุด
“ก็เป็นธรรมดาของพ่อแม่ เกิดมาก็มีความผูกพันกันมาก รู้สึกว่าลูกคนนี้มีความผูกพันกันมาก แล้วพอเขาผิดปกติไป ก็เป็นห่วงเขามาก โตขึ้นก็ไม่ทราบว่าเขาจะช่วยตัวเองได้แค่ไหน หรือเป็นอะไร ก็เสียใจมากเป็นธรรมดา แต่ก็คิดว่าจะต้องพยายามช่วยเขาให้ได้ ถ้ามีโอกาสที่จะให้เขาหายก็ให้เขาหาย ถ้าเขาไม่หายก็พยายามให้เขามีความสุขที่สุด และมีพัฒนาการให้ดีที่สุด ที่จะอยู่ในสังคมได้ เพราะเราก็เป็นห่วงเขามาก”
ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ ทรงเคยถามเพื่อนชาวต่างประเทศเหมือนกันว่า ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดกับพระองค์ ซึ่งเพื่อนก็ตอบว่า เพราะพระเจ้ารู้ว่า "ยู" เป็นคนที่จะดูแลน้องพุ่มได้ ในที่สุด ทูลกระหม่อมฯ จึงตัดสินพระทัยทูลเรื่องนี้ให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบ ซึ่งพระองค์ได้รับสั่งให้ทูลกระหม่อมได้คิดว่า หากประชาชนไม่ทราบเรื่องนี้ ประชาชนจะไม่เข้าใจ  คิดว่าคุณพุ่มเป็นตัวประหลาด เพราะด้วยความเป็นออทิสติก ได้ฟังดังนั้น ทูลกระหม่อมฯ จึงทรงตัดสินพระทัยประกาศเรื่องนี้ให้สาธารณชนทราบ และแทบไม่น่าเชื่อว่า การประกาศออกไปเช่นนั้น จะก่อให้เกิดผลดี เพราะปกติมีเด็กเป็นโรคออทิสติกกันเยอะอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่พ่อแม่จะรู้สึกอับอาย ไม่กล้าบอกใครว่าลูกเป็นออทิสติก ก็จะเก็บลูกไว้ที่บ้าน ไม่กล้าพาไปไหน
การออกมาเปิดเผยของทูลกระหม่อมฯ จึงทำให้บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานเป็นโรคออทิสติก เริ่มกล้าออกมาเปิดเผยบ้าง และนั่นก็ทำให้เด็กๆ ที่ป่วยเป็นโรคนี้อยู่ ได้มีโอกาสรับการรักษาที่ถูกต้อง ทูลกระหม่อมฯ ทรงกล่าวถึงโรคออทิสติกที่คุณพุ่มเป็นด้วยว่า เป็นโรคที่ยังรักษาไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่เรียนหนังสือได้ ซึ่งหมอบอกว่า อาจจะมีโอกาสหายเมื่ออายุ ๒๐ แต่ก็ไม่แน่ อาจจะไม่หายก็ได้ ทั้งนี้ พ.ญ.เพ็ญแข ลิ่มศิลา แห่งโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ และโรงเรียนสาธิตเกษตรฯ ได้จัดโปรแกรมรักษาให้เต็มที่ ทำให้คุณพุ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก
แม้คุณพุ่มจะเกิดและโตที่ต่างประเทศ แต่ทูลกระหม่อมฯ ก็ทรงยืนยันว่า คุณพุ่มรู้สึกรักเมืองไทยมาก และรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนไทย ไม่ใช่อเมริกัน ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกๆ ที่คุณพุ่มได้มาเมืองไทย
“น้องพุ่มรักเมืองไทยมาก น้องพุ่มชอบเมืองไทยมาตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่มาเมืองไทยครั้งแรกก็รู้สึกมีความรัก มีความผูกพัน โดยเฉพาะในพระบรมมหาราชวังก็มีความผูกพันมาก ถึงอยู่ที่นั่นก็จะรู้สึกมีความสนใจกับรัชกาลที่ ๑ ก็เรียกว่า นัมเบอร์ ๑ นัมเบอร์ ๒ อะไรอย่างนี้ ก็จะสนใจในเมืองไทยมากเลย แล้วน้องพุ่มพูดว่าเมืองไทยคือบ้าน มีหนหนึ่ง ไปเที่ยวไหนกันก็ไม่ทราบ แล้วน้องพุ่มบอกจะโกโฮม ก็ถามว่า จะโกโฮมที่บ้านที่อเมริกาใช่ไหม บอกว่า โน ไทยแลนด์ น้องพุ่มมีความรู้สึกว่าเป็นคนไทยตลอด เป็นสิ่งแปลกเพราะว่าน้องพุ่มเกิดที่นั่น เรียนหนังสืออะไรก็ที่นั่น แต่น้องพุ่มไม่มีความรู้สึกว่า เป็นคนอเมริกัน”
 

คำอำลาสุดท้าย! ถ้อยคำแห่งความรักที่ตราตรึงในหัวใจ ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนฯ ในวันแห่งความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ ที่คนไทยไม่มีวันลืม
การได้มีโอกาสกลับมาอยู่เมืองไทย ได้เรียน และรักษาตัวไปพร้อมกันของคุณพุ่ม ไม่เพียงทำให้คุณพุ่มมีความสุขและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น แต่ยังทำให้ผู้เป็นแม่อย่างทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาฯ พลอยมีความสุขกับลูกไปด้วย
“น้องพุ่มจบไฮสคูลที่อเมริกาแล้ว จบเกรด ๑๒ ที่อเมริกา แล้วก็กลับเข้ามาเรียนเกรด ๑๒ ซ้ำอีกที่สาธิตเกษตรฯ เป็นหลักสูตรพิเศษที่ทำดีไซน์สำหรับน้องพุ่มโดยเฉพาะ แล้วก็มีเพื่อนมาเรียนด้วย เสร็จแล้วก็เข้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งก็เป็นโปรแกรมพิเศษอีกอันหนึ่ง เรียนสปอร์ตโคชชิ่งในคณะศึกษาศาสตร์ แต่เป็นหลักสูตรพิเศษที่เขาจัดให้ แล้วก็อีก ๒ วัน ก็ไปที่โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อฝึกพูด แล้วก็โรงพยาบาลยุวประสาทฯ ไปทำเทอราปี พอกลับมาเมืองไทยน้องพุ่มมีพัฒนาการที่ดีมากเลย ก็รู้สึกดีใจ รู้สึกเขาเป็นผู้ใหญ่ มีชีวิตของตัวเองมากขึ้น ได้ไปเที่ยวไหนๆ บางทีเขาก็ไปเที่ยวเอง น้องพุ่มรักที่จะไปเที่ยวทะเล” และชอบทำอาหาร และ ขนมมาก และชอบทำอาหาร และ ขนมมาก
ทุกครั้งที่ทำซินเนมอนโรล คุณพุ่มจะนำกลับไปฝากทูลกระหม่อมฯ เสมอ คุณพุ่มยังตั้งใจไว้ด้วยว่า จะนำไปฝากคุณตา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๓๑ ธ.ค.๒๕๔๗ แต่วันเวลาของคุณพุ่มก็หยุดลงเสียก่อนจากเหตุสึนามิ ณ วันที่ ๒๖ ธ.ค. ทูลกระหม่อมฯ ยังจำภาพสุดท้ายและคำพูดทุกคำระหว่างพระองค์กับคุณพุ่มได้ดีราวกับว่า เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ทั้งที่ความจริงผ่านมานานวันแล้ว เช้าวันที่ ๒๖ ธ.ค. คุณพุ่มเข้ามาทวงของขวัญจากทูลกระหม่อมฯ อีก หลังจากได้ไป ๓ ชิ้นแล้วในวันที่ ๒๕
“น้องพุ่มก็มาทวงของขวัญอีก ความจริงควรจะให้ทีละชิ้นใช่ไหม ให้ ๓ ชิ้น วันที่ ๒๕ วันที่ ๒๖ ก็บอกว่าเดี๋ยวกลับกรุงเทพฯ ก่อน ความจริงมีเหลืออีก ๒ ชิ้น ซึ่งเป็นพระ ก็ว่าจะไปแจกคน น้องพุ่มก็หยิบมาบอกนี่เป็นพระสำหรับทหาร ตำรวจ ก็บอกว่า น้องพุ่มรอกลับกรุงเทพฯ ก่อน แล้วแม่ยังมีของให้ตั้งหลายชิ้นสำหรับนิวเยียร์ น้องพุ่มก็โอเค วางลง น้องพุ่มก็จะไปเล่นเจ็ตสกี ก็มากอดแม่ แล้วก็บอกว่า ไอเลิฟยู ก็บอก "ไอเลิฟยู" ก็เป็นครั้งสุดท้ายที่พูดกัน (เสียงเครือ...จะทรงร้องไห้)
ด้วยความรักและความผูกพันที่แม่มีให้กับลูกมาตลอด โดยเฉพาะคุณพุ่มที่ต้องการการดูแลมากเป็นพิเศษ ความสะเทือนใจต่อการสูญเสียย่อมมีมากเป็นร้อยเท่าพันเท่า แม้วันนี้...คุณพุ่มจะไม่ต้องได้รับการดูแลจากทูลกระหม่อมฯ อีกต่อไป แต่ภาระหน้าที่และบทบาทความเป็นแม่ที่รักและห่วงใยลูกของทูลกระหม่อมฯ จะยังคงดำเนินต่อไป กับคุณพลอยไพลิน และคุณใหม่ สิริกิติยา โดยมีคุณพุ่มคอยเป็นกำลังใจอยู่เบื้องบน!! ....
ขอขอบคุณที่มา : Sakon Ketkaew
ที่มา FB : เพจชมรมคนรักพระมหากษัตริย์ของชาติไทย