- 30 ธ.ค. 2560
ย้อนรอยมหาสงครามเอเชียบูรพา แนวที่ ๕ กับจารกรรมในเมืองนครศรีธรรมราช ตอน ๓
บริษัทเคียวแอไค ใน ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ รัฐบาลไทยสร้างถนนสายนคร-ปากพนัง โดยมี
บริษัทเคียวแอไคแห่งประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ประมูลรับเหมา เริ่มลงมือทำถนนใน พ.ศ. ๒๔๘๑
ตั้งต้นจากหัวถนน ตำบลศาลามีชัย นายช่างและหัวหน้าใหญ่เป็นชาวญี่ปุ่นทั้งสิ้น
โดยตั้งแคมป์หรือสำนักงานของบริษัทที่หัวถนน ซึ่งชื่อนายช่างญี่ปุ่นเท่าที่สืบได้จากคุณน้อม ถาวรโต คนงานของบริษัทฯ ทราบชื่อว่าช่างใหญ่ชื่อฟูจิฮารา นอกนั้นมีชื่อฮิโนมาตา โกจิ โอซาวา
บริษัทเคียวแอไคเมื่อประมูลรับจ้างสร้างทางสายนคร - ปากพนังแล้ว ช่วงแรก จากหัวถนนถึงหัวตรุดได้ให้นายกี่เป็นผู้รับเหมาต่อจากบริษัททำการสร้างทาง ส่วนทางฟากตะวันออกของคลองหัวตรุด
บริษัท ฯ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง สำหรับสะพานตั้งแต่สะพานหัวตรุดจนถึงปากพนังทุกสะพาน นายอี.ซี การ์เนีย ลูกครึ่งไทย-ฝรั่งเศส เป็นนายช่างผู้ควบคุมการก่อสร้าง
ญี่ปุ่นที่นายช่าง ผู้ควบคุมสโตร์ตลอดจนผู้ควบคุมเครื่องมือ เครื่องจักรกล ล้วนแต่
เป็นคนญี่ปุ่นทั้งสิ้น บริษัทเคียวแอไคส่งมาสร้างถนนสายนคร-ปากพนังก็เพื่อร่วมสืบราช
การลับของไทยแล้วรายงานไปประเทศญี่ปุ่น
การสร้างถนนสายนคร-ปากพนังคงเป็นแผนการยกพลขึ้นบกแผนหนึ่งเหมือนกัน คือพยายามดำเนินการสร้างให้เสร็จใช้การได้โดยเร็วให้ถึงบ้านบางจาก เพราะที่บางจากมีคลองใหญ่เรียกว่าคลองบางจากไหลออกสู่ทะเลที่ปากน้ำบางจาก
ถนนปากพนัง-นครศรีธรรมราช ที่สร้างขึ้นเพื่อลำเลียงพล และยุทโปกรณ์เข้าสู่ตัวเมืองนครศรีธรรมราช
ถ้าถนนทำเสร็จใช้การได้และไปสิ้นสุดที่บางจาก ทหารญี่ปุ่นจะยกพลขึ้นบกที่บางจากและเดินทัพเข้าเมืองนครศรีธรรมราชสะดวกมาก เนื่องจากมีถนนเรียบร้อย
นายน้อม ถาวรโต คนงานบริษัทเคียวแอไคเล่าว่าวันไหนเป็นวันหยุดพักไม่ทำงานก่อสร้าง
นายโอซาวา นายช่างสร้างทางคนหนึ่งจะชวนคนงานไปทะเลเพื่อตกปลา การตกปลาทะเลของ นายโอซาวาก็เพื่อไปวัดระดับน้ำทะเล และทราบต่อมาว่าแท้จริงแล้วนายโอซาวาคือทหารเรือ การวัดระดับน้ำทะเลก็เพื่อทราบกระแสน้ำเพื่อความสะดวกในการยกพลขึ้นบกนั้นเอง
ก่อนทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ท่าแพ เมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๑ บริษัทญี่ปุ่น
ได้ให้คนงานไทยเก็บเครื่องมือ เครื่องจักรกลต่าง ๆ ให้เรียบร้อย และบอกกับคนงานไทยว่า
จะต้องเอาเครื่องมือ เครื่องจักรกลต่างๆ ตลอดจนรถยนต์ไปซ่อมแซมและฟิตเครื่องใหม่
แต่แท้จริงแล้ว จารกรรมญี่ปุ่นที่มารับสร้างถนนได้เตรียมรถยนต์ไว้สำหรับทหารญี่ปุ่นที่ยกพลขึ้นบกได้ใช้ แต่มีนายช่างไทยที่ทางราชการส่งมาควบคุมการสร้างทางของบริษัทเคียวแอไค ชื่อคุณอัมพร เถลิงรัศมีบอกกับคนไทยว่า
“อย่าพยายามรีบเก็บเครื่องมือ ให้เก็บช้าๆ ประวิงเวลาไว้” (นายน้อม ถาวรโด ผู้เล่า) เข้าใจว่า นายช่างอัมพร เถลิงรัศมี คงรู้แผนญี่ปุ่นในการยกพลขึ้นบกที่นครศรีธรรมราชเป็นแน่
นายช่างและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นในบริษัทเคียวแอไคทุกคนคงเป็นแนวที่ ๕ หรือหน่วยสืบราชการลับ
โดยปกติบริษัทเคียวแอไคของญี่ปุ่น ที่มาสร้างทางสายนคร-ปากพนัง จะมีตำรวจของ
สถานีตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชผลัดเปลี่ยนกันมารักษาการณ์ ที่แคมป์ หรือที่ทำการของบริษัท
ที่หัวถนนเป็นประจำวันทุกวัน
เช้าของวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ แตรเดี่ยวของสถานีตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชถูกเป่าเป็นสัญญาณว่าเกิดเหตุการณ์สำคัญด้วยกองทหารญี่ปุ่นบุกท่าแพ พ.ต.อ.หลวงแสง นิติศาสตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค ๘ ได้ออกคำสั่งให้เปิดคลังอาวุธ จ่ายปืนให้ตำรวจอยู่เวรคนละ ๑ กระบอก เป็นปืนเล็กยาวแบบ ๘๓ และกระสุนคนละ ๖o นัด
ตำรวจหนึ่งหมู่ได้รับคำสั่งให้ไปควบคุมญี่ปุ่นที่บริษัทเคียวแอไคที่หัวถนนมี ร.ต.ต. สวัสดิ์
ปิ่นประไพเป็นหัวหน้า มีพลฯ แช่ม ช่องสกุล , พลฯ หนูกลิ่น, พลฯ กังวล, พลฯ ประมวล,
พลฯ ตะปา วิสุทธิกาญจน์ และคนอื่นๆ อีก
ร.ต.ต. สวัสดิ์ ปิ่นประไพ ได้นำกำลังตำรวจพร้อมอาวุธจำนวน ๑๒ คน ออกจากสถานี
ตำรวจ เดินมาถึงสะพานนครน้อย ฯ พบรถยนต์แม่ค้าปลาจะนำไปขายตลาดเช้าวัดเสาธงทอง
ร.ต.ต. สวัสดิ์ ได้ให้แม่ค้าขนสินค้าลงจากรถ และแจ้งแก่คนขับว่าญี่ปุ่นโจมตีประเทศไทยด้วย มีการยกพลขึ้นบกที่ท่าแพ ตนได้รับคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ไปควบคุมตัวชาวญี่ปุ่นที่หัวถนนจึงขอใช้รถยนต์นำตำรวจไปหัวถนนด้วย
เมื่อ ร.ต.ต. สวัสดิ์ พร้อมด้วยตำรวจมาถึงบริษัทเคียวแอไคที่หัวถนน พลฯ ตะปา วิสุทธิกาญจน์ เล่าว่า
“เห็นรถยนต์บรรทุกของบริษัทเคียวแอไคที่ใช้สำหรับสร้างทางประมาณ ๑๐ คัน จอดเชียงรายเป็นระเบียบ และมีธงชาติญี่ปุ่นปักไว้ทุกคันแล้ว"
ร.ต.ต. สวัสดิ์ นำกำลังตำรวจขึ้นไปบนสำนักงานของบริษัทได้เข้าไปพบญี่ปุ่น ๒ คนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของบริษัทคือ เอ็ช.ซี ฮารา และไมโนมาตา ชาวญี่ปุ่นทั้งสองได้พูดอะไรก็ไม่ทราบกับ ร.ต.ต. สวัสดิ์
นาย H.C. Hara (เข้าใจว่าเป็นชื่อย่อจากภาษาญี่ปุ่น)
เห็นแต่ ร.ต.ต. สวัสดิ์ พยักหน้า แล้วตำรวจที่ไปด้วยยิงปืนใส่ญี่ปุ่นเสียชีวิต ฝ่ายตำรวจระบุว่าทั้งสองขัดขืนการจับกุม จากนั้น ร.ต.ต. สวัสดิ์ ได้ออกคำสั่งให้ตำรวจที่ไปด้วยจัดการฝังศพนายช่างญี่ปุ่นทั้งสองข้าง ๆ แคมป์ที่ทำการของบริษัทนั่นเอง (พลฯ แช่ม ช่องสกุล เป็นผู้เล่า)
แล้วยกกำลังกลับสถานีตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชรายงานผลการปฏิบัติงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบต่อไป
พอมีคำสั่งหยุดยิงจากรัฐบาลไทยและอนุญาตให้กองทัพญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย
ได้ ภายหลังจากเสียงปืนสงบลงทั้งสองฝ่ายแล้ว ทหารญี่ปุ่นได้เข้ามาพักอาศัยในโรงทหาร
ของมณฑลทหารบกที่ ๖ (ปัจจุบันเป็นกองทัพภาคที่ ๔) ตั้งแต่กองทหารปืนใหญ่ ป. พัน
๑๕ ตลอดถึง ร.พัน ๓๙ (ร.๑๕ พัน ๒ )
ทหารไทยและครอบครัวจะต้องอพยพจากโรงทหาร และบ้านพัก ให้พ้นจากเขตทหาร โดยได้เข้ามาอยู่ในตัวเมืองพนครฯ พักตามวัดบ้าง โรงเรียนบ้าง ช่วงนี้นี่เองที่ยุวชนทหาร หน่วยฝึกยุวชนทหารที่ ๕๕ ได้ช่วยกันขนยุทธภัณฑ์ต่างๆ ที่สำคัญ เช่นเอกสาร แผนที่ น้ำมัน ปืน กระสุน ออกจากเขตทหารอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ส่วนไหนที่ขนไปไม่ได้ก็จะทำให้เสียสภาพเช่น ถอดเอายางรถยนต์ออก ที่ถอดออกไม่ทันก็เอามีดประจำตัวกรีดให้เป็นรอยรั่ว
การโจมตีทางบกจะเป็นไปได้ง่ายหากทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกที่ถนนปากพนัง-นครศรีธรรมราช
นายทหารผู้บังคับบัญชานำทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก ที่ท่าแพได้เข้าพบ พ.ต.อ. หลวงแสง
นิติศาสตร์ ได้มีการเจรจาเรื่องยิงญี่ปุ่นที่สร้างทางตาย ให้ตำรวจขุดศพ เอ็ช.ซี.ฮารา และไมโนมาโตที่ฝั่งไว้ที่หัวถนนมาเก็บไว้ที่วัดท่ามอญ (วัดศรีทวี) ในตอนเย็นวันนั้นเอง
พอมีประกาศหยุดยิงจากรัฐบาลไทยอนุญาตให้ญี่ปุ่นเดินทัพผ่านประเทศไทย และเปิดการเจรจาระหว่าง พลตรี หลวงเสนาณรงค์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารที่ ๖ กับฝ่ายนายทหารญี่ปุ่นที่บริเวณสโมสรนายทหาร มณฑลทหารบกที่ ๖
ในตอนบ่ายวันนั้นก็ได้มาขุดศพพ่อค้าญี่ปุ่นที่รับซื้อแร่ที่ฝังที่วัดชะเมา แล้วนำศพไปเก็บไว้ด้วยกันกับศพของพนักงานบริษัทเคียวแอไคที่วัดท่ามอญ (วัดศรีทวี) ได้มีการเปิดการเจรจากันขึ้นระหว่าง พ.ต.อ. หลวงแสงนิติศาสตร์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรภาค ๘ กับนายทหารญี่ปุ่น นายทหารญี่ปุ่นแสดงอาการเกรี้ยวกราด มีความโกรธมากที่ตำรวจไทยฆ่าคนของเขา และต้องการเอาตัวตำรวจไทยผู้ยิงมาลงโทษ
การเจรจาพูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะ พ.ต.อ. หลวงแสง นิติศาสตร์ พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ส่วนนายทหารญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษด้วยความโมโหโกรธาจึงมีผู้ไปตามครูน้อม อุปรมัย ครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนเบญจมราชูทิศ มาเป็นล่าม
ครูน้อม อุปรมัยได้แปลข้อความที่นายทหารญี่ปุ่นพูดกับ พ.ต.อ. หลวงแสงนิติศาสตร์คือแปลคำพูดทั้งสองฝ่ายที่โต้แย้งกัน นายทหารญี่ปุ่นพูดด้วยอารมณ์โกรธจัด ชักดาบซามูไรบ่อย ๆ พ.ต.อ. หลวงแสงนิติศาสตร์ตอบโต้ครูน้อม อุปรมัย แปล และพูดข้อความที่ตอบโต้นั้นที่วัดท่ามอญ (วัดศรีทวี) ต่างอ้างเหตุผลต่อกัน ในที่สุดเหตุการณ์โต้แย้งได้ยุติทั้งสองฝ่าย
การลำเลียงพล และยุทโธปกรณ์ เป็นไปอย่างยากลำบาก เพราะต้องใช้แรงคนในการขนย้ายแบกหาม
เพราะไม่มีหลักฐานยืนยันว่าตำรวจกระทำเกินกว่าเหตุ และเป็นเวลาติดพันการรบอยู่ มีภารกิจอื่นที่ต้องปฏิบัติมาก พวกญี่ปุ่นให้ขุดศพชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตมากระทำพิธีที่วัดท่ามอญ (วัดศรีทวี) แล้วเลิกเจรจากัน
หลังจากที่เผาศพแนวที่ ๕ หรือจารชนชาวญี่ปุ่นเสร็จ ได้มีการถ่ายรูปเพื่อทำเรื่องไปยังกรุงเทพฯ เนื่องจากกองทัพญี่ปุ่นบังคับให้รัฐบาลไทย ต้องชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดแก่ชีวิตพลเรือนชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในช่วงที่ญี่ปุ่นยกทัพขึ้นบก โดยเป็นจำนวนเงินศพละ ๑,๐๐๐ บาท
ซึ่งได้ทำการถ่ายรูปหน้าร้านนายมาลู เพื่อยืนยันว่าคนญี่ปุ่นได้เสียชีวิตจริง หลังจากนั้นจึงมีการส่งกล่องใส่เถ้ากระดูก ห่อด้วยผ้าขาว กลับไปยังประเทศญี่ปุ่นต่อไป
นับได้ว่า แนวที่ ๕ เป็น ชาวญี่ปุ่นกลุ่มแรกในไทยที่ต้องเสียชีวิตจากมหาสงครามเอเชียบูรพา และยังมีชาวญี่ปุ่นที่ต้องเดินทางกลับในรูปเถ้ากระดูกในกล่องห่อด้วยผ้าขาว เพียงเพื่อสังเวยกับสงครามรวบอำนาจให้เอเชียเป็นหนึ่งเดียวกันอีกมากมายมหาศาล
เรียบเรียงจากสัมภาษท์ และบทความ
นิเวส อัจจิมางกูร
“แด่ป๋าของลูก” ดร. เย็นใจ เลาหวณิช
นายน้อม ถาวรโด
แช่ม ช่องสกุล
ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องได้ที่
http://www.tnews.co.th/contents/395768
http://www.tnews.co.th/contents/395785
http://www.tnews.co.th/contents/396160
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/
http://www.tnews.co.th/contents/393696