ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

จะไปเล่นกับไฟฟ้า..คิดเป็นยูนิต มันก็ฉิบหายอย่างเดียว!! เปิดพระราชหัตถเลขาของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แม้ผ่านมาร้อยปีก็ยังคงใช้ได้อยู่ !!

 

        ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๒๗ พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและมีประโยชน์มาก เมื่อทรงมีโอกาสไปประพาสต่างประเทศได้ทรงทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า และทรงเห็นประโยชน์มหาศาลที่จะเกิดจากการมีไฟฟ้า จึงทรงริเริ่มให้มีการใช้ไฟฟ้าขึ้นในพระราชอาณาจักร โดยในปีพุทธศักราช ๒๔๒๗ พระองค์ได้ทรงมอบหมายให้ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ซึ่งขณะนั้นเป็นกรมหมื่นไวยวรนาถ       

      

จะไปเล่นกับไฟฟ้า..คิดเป็นยูนิต มันก็ฉิบหายอย่างเดียว!! เปิดพระราชหัตถเลขาของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แม้ผ่านมาร้อยปีก็ยังคงใช้ได้อยู่ !!

 

         พุทธศักราช ๒๔๓๓ ตั้งโรงไฟฟ้าที่วัดเลียบ หรือวัดราชบูรณะ จนกระทั่งถึงพุทธศักราช ๒๔๓๖ ต่อมาเพื่อให้กิจการไฟฟ้าก้าวหน้ายิ่งขึ้น รัฐบาลได้โอนกิจการให้ผู้ชำนาญด้านนี้ ได้แก่ บริษัทอเมริกัน ชื่อ แบงค็อค อิเลคตริกซิตี้ ซิดิแคท เข้ามาดำเนินงานต่อ และในปี พ.ศ. ๒๔๓๓  บริษัทเดนมาร์กได้เข้ามาตั้งโรงงานผลิตพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ในการเดินรถรางที่บริษัทได้รับสัมปทานการเดินรถในเขตพระนคร ต่อมาบริษัทต่างชาติทั้ง ๒ บริษัทได้ร่วมกันรับช่วงงานจากกรมหมื่นไวยวรนาถ และก่อตั้งเป็นบริษัทไฟฟ้าสยาม ขึ้นในปีพุทธศักราช ๒๔๔๔ นับเป็นการบุกเบิกไฟฟ้าครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย ในการเริ่มมีไฟฟ้าใช้เป็นครั้งแรก 

 

จะไปเล่นกับไฟฟ้า..คิดเป็นยูนิต มันก็ฉิบหายอย่างเดียว!! เปิดพระราชหัตถเลขาของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แม้ผ่านมาร้อยปีก็ยังคงใช้ได้อยู่ !!

          เริ่มต้นจากการจ่ายไฟฟ้าสู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ก่อนจะขยายสู่กิจการรถรางในปี พ.ศ. ๒๔๓๗ และสู่บ้านเรือนราษฎรในพระนครโดยทั่วไป ไปจนถึงส่วนภูมิภาค ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๐ เป็นต้นมา นับว่าสยามมีไฟฟ้าใช้หลังจากเอดิสันประดิษฐ์หลอดไฟได้เพียงห้าปี

          แต่เมื่อประชาชนได้มีโอกาสใช้ไฟฟ้า ก็ปรากฏว่าประชาชนจำนวนมากต่างใช้ไฟฟ้าอย่างสิ้นเปลืองจนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง "บ่น" ผ่านทางพระราชหัตถเลขา ยังเจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๔ ความว่า

"...เรื่องไฟฟ้านั้นจะต้องวินิจฉัยต่อภายหลังเวลานี้ทำอไรไม่เปลือง แต่เกิดมาเปนคนไทยไม่รู้จักเปิดรู้จักปิด จะไปเล่นกับไฟฟ้าคิดเป็นยูนิตมันก็ฉิบหายอย่างเดียว..."

ความตามพระราชหัตถเลขานี้ แม้ผ่านมาร้อยปีก็ยังคงใช้ได้อยู่ คนไทยในปัจจุบันก็ควรรับใส่เกล้าใส่กระหม่อมไว้

จะไปเล่นกับไฟฟ้า..คิดเป็นยูนิต มันก็ฉิบหายอย่างเดียว!! เปิดพระราชหัตถเลขาของ "พระพุทธเจ้าหลวง" แม้ผ่านมาร้อยปีก็ยังคงใช้ได้อยู่ !!

 

นอกจากนี้ยังทรงมีพระราชวิจารณ์ถึงเรื่อง "เสาไฟฟ้า" ว่า

"...แต่ระยะไฟฟ้าในเมืองเราที่ติดๆ มา ถี่เกินไปกว่าที่สิงคโปรแลยะวา (ชวา) ซึ่งเขาใช้ไฟแกศฤาน้ำมันแกศลินเสียอีก ข้อนี้เปนกิเลศของไทยเห็นโคมห่างไม่ได้ เห็นต้นไม้ชิดกันก็ไม่สบาย ตรงกันข้ามกับเมืองอื่นๆ ของเขาไฟห่างต้นไม้ชิด..."

ก็นับเป็นพระราชวิจารณ์ที่นักพัฒนาเมืองในปัจจุบันเองก็ควรจะขบคิดอยู่ไม่น้อย...

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก จับเข่าเล่าประวัติศาสตร์ อ้างอิง : การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  งานวิจัย "ศักยภาพของประเทศไทย: การปฏิรูปสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวถึงปัจจุบัน" โดย ดร.พิริยะ ไกรฤกษ์ และคณะ