ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ https://www.facebook.com/partiharn99/

ชีวิตก่อนบวช

ก่อนบวชท่านมีชื่อว่านายประยุทธ สุวรรณศรี เกิด ปี ๒๔๗๑ ปีมะโรง เดือน ๕ วันเสาร์ มีพี่น้องรวมกัน ๕ คน ท่านเป็นคนที่ ๓ โดยมีพี่ชาย ๑ พี่‌สาว ๑ และน้องสาว ๒ คน คือคุณประภาและคุณพะเยาว์ บ้านเกิด จ.เพชรบุรี แต่ไปเติบโตที่หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ‌เพราะทั้งครอบครัวได้ย้ายไปอยู่ที่นั่น ครอบครัวท่านมีฐานะดี‌พอควร

ท่านเล่าว่าชะตาของท่านต้องฆ่าคนโดยไม่เจตนาเมื่ออายุ ‌๑๑ ปี คือ ขว้างมีดเล่นๆ ไปถูกชายคนหนึ่งเข้าที่สำคัญทำให้‌ชายผู้นั้นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากยังเด็กจึงไม่ถูกลงทัณฑ์ ‌เมื่ออายุครบบวชพ่อก็มาเสีย แม่จึงจัดให้บวชตามประเพณีที่วัด‌กลางเมืองหัวหินสันนิษฐานว่าเป็นวัดอัมพาราม บวชได้ ๑ พรรษาก็สึก นับ‌เป็นการบวชครั้งแรกในคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย

หลังจากสึกท่านก็ไปทำมาหากินทางใต้ เร่ร่อนไปหลายที่ ที่‌ไหนหาเงินได้มากก็อยู่นานหน่อย เคยเป็นกัปตันเรือตังเกหา‌ปลามีเพื่อนฝูงลูกน้องมากมาย และเคยไปลงทุนตั้งไนต์คลับที่‌มาเลเซีย

จุดหักเหในชีวิต

เกิดเมื่อพ่อค้าใหญ่ในกรุงเทพฯ จ้างให้ขน‌ฝิ่นไปมาเลเซียในราคาเที่ยวละ ๒,๐๐๐ บาท และให้ไปรับเงินที่‌ปลายทาง พอไปถึงคนที่ซื้อฝิ่นกลับกลายเป็นตำรวจ ๒ คน‌บอกว่า จะจ่ายเงินค่าฝิ่นให้ ท่านไม่รับเพราะถ้าขืนรับ คนที่จ้าง‌ท่านเป็นพวกมีอิทธิพลคงไม่ไว้ใจท่านและท่านอาจโดนฆ่า แต่ที่‌สำคัญเจ้าหน้าที่ ๒ คนนั้นขู่ว่าถ้าไม่ตกลงตามราคาที่เสนอจะ‌แจ้งให้ตำรวจมาเลเซียจับ ทำให้ท่านไม่มีทางเลือก จึงตัดสินใจ‌ฆ่าเจ้าหน้าที่ทั้งสองคน

ท่านเล่าว่าอุตส่าห์ควักไส้พุงมันออกเวลาไปทิ้งน้ำจะได้ไม่‌ลอยขึ้นมา แต่เจ้ากรรมจริงๆ ศพลอยขึ้นมาข้างๆ เรือ ทำให้มี‌คนเห็นและท่านถูกจับฐานสงสัยว่าเป็นฆาตกรแต่ไม่มีเรื่องค้า‌ฝิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง

ชีวิตเมื่อต้องโทษทัณฑ์

ท่านถูกขังคุกอยู่หลายเดือนที่มาเลเซีย ขึ้นศาลอยู่หลายครั้ง‌ เพราะหลักฐานไม่พอ แต่ศาลพยายามให้ท่านรับสารภาพให้ได้ การขึ้นศาลครั้งที่ ๖ ในระหว่างที่ท่านรอการพิจารณาคดี มี‌ชายอายุประมาณ ๕๐-๖๐ ปี แต่งตัวดี ผิวพรรณผ่องใสสะอาด ‌เดินมาที่ศาล พยายามขอเข้าเยี่ยมและถามท่านว่าต้องคดีอะไร ‌ท่านไม่ตอบกำลังเครียดเพราะคดีท่านถึงขั้นประหารชีวิต เลย‌ลุกหนีไปนั่งที่อื่น ชายคนนั้นก็ตามไปถามอีก ท่านรำคาญเลย‌บอกว่าคดีฆ่าคนตาย ชายคนนั้นบอกว่าไม่เป็นไร ไม่ถึงตายหรือ‌ติดคุก ลุงจะช่วย ท่านก็ถามกลับว่าจะช่วยยังไงดูแล้วไม่มีทาง‌รอดเลย ลุงแกก็บอกว่า จำคาถานี้สั้นๆ ไปใช้แล้วให้ว่าคาถานี้‌เวลาขึ้นศาลโดยให้เพ่งมองหน้าผู้พิพากษา แล้วจะพ้นคดี แต่‌ห้ามบอกคาถานี้แก่ใคร

ตอนนั้นท่านพระอาจารย์ประยุทธไม่เชื่อเรื่องคาถาอาคม‌ แต่เมื่อจวนตัว ก็เลยลองท่องและจ้องมองไปที่ผู้พิพากษา ศาลตัดสินปล่อยตัว รอดจากการประหารชีวิตอย่าง‌ปาฏิหาริย์ แต่ท่านถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าประเทศมาเลเซียอีก (ท่านทราบภายหลังเมื่อบวชปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง ว่าลุง‌นั้นเป็นเทพ มาช่วยปกปักรักษาท่าน คงเห็นว่าท่านมีบารมีที่จะ‌ได้เข้าถึงธรรมในชาตินี้และชาติต่อไป เลยมาช่วย)

ชีวิตเสรีไทย สงครามโลกครั้งที่ ๒

เมื่อพ้นผิดท่านพระอาจารย์ประยุทธก็กลับมาในประเทศ‌ไทยแถบภาคใต้เหมือนเดิม ขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ‌๒ และรัฐบาลไทยต้องเข้าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นด้วยความจำเป็น‌บังคับ ขณะนั้น ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชซึ่งเป็นเอกอัครราชทูต‌ไทยประจำสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นขึ้น และรวบ‌รวมคนไทยในสหรัฐและยุโรปตั้งเป็นคณะเสรีไทยทำงานใต้ดิน‌เพื่อขัดขวางกองทัพญี่ปุ่นทุกวิถีทาง ท่านก็เข้าร่วมกับคณะเสรี‌ไทยอยู่ในกลุ่มที่คอยตัดกำลังญี่ปุ่น เรียกว่า“กลุ่มไทยถีบ”กลุ่มไทยถีบ คือ เมื่อญี่ปุ่นขนอาวุธยุทโธปกรณ์หรือเสบียง‌อาหารไปให้กองทัพของตอนตามภาคต่างๆ ซึ่งต้องขนโดยใช้‌ทางรถไฟ กลุ่มของท่านก็จะดักซุ่ม เพื่อถีบของเหล่านั้นลงจาก‌รถไฟไม่ให้ไปถึงปลายทางได้

กำเนิด“ขุนโจรอิสไมล์แอ”

สงครามโลกครั้งที่ ๒ เกิดได้ไม่นาน รัฐบาลประสบปัญหา‌ต่างๆ รวมทั้งการลำเลียงเสบียงอาหารเพื่อไปส่งยังเรือนจำที่‌เกาะตะรุเตา จ.สตูล ซึ่งตอนนั้นใช้ขังนักโทษการเมือง เนื่อง‌จากความยากลำบาก และสิ้นเปลืองงบประมาณ บวกกับเรื่อง‌ที่นักโทษหนีกันมาก รัฐบาลจึงสั่งให้ยุบเรือนจำนี้

ท่านเห็นโอกาสดีในการใช้เกาะตะรุเตาเป็นที่ซ่องสุมและ‌พำนัก จึงรวบรวมสมัครพรรคพวกประมาณ ๒๐๐ คน เนื่อง‌จากที่พำนักดีทำให้การปล้นเรือสินค้าและเสบียงทางเรือของ‌กองทัพญี่ปุ่นทำได้สะดวก

ปล้นมาได้ท่านก็แบ่งแจกจ่ายให้ประชาชนที่กำลังอดอยาก‌ตามชายฝั่ง อีกส่วนหนึ่งกระจายกันอยู่บนฝั่งเป็นหูเป็นตา และ‌ส่งข่าวให้แก่หนังสือพิมพ์ให้นำเสนอข่าวพฤติกรรมของ‌โจรสลัดทะเลหลวง ฉายา“ขุนโจรอิสไมล์แอ”ช่วงนั้นชื่อเสียง‌ของโจรสลัดทะเลหลวงกลุ่มนี้โด่งดังมาก

ต่อมาเมื่อสงครามโลกสงบลง การปล้นของขุนโจรอิสไมล์แอได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบไปเป็นการปล้นเรือขนส่ง‌สินค้าของผู้มีอิทธิผลทางการเมือง และทางราชการที่ขนข้าวไป‌ขายให้มาเลเซีย ฮ่องกง สิงคโปร์ เพราะว่าช่วงนั้นประชาชน‌ทางภาคใต้ปกติทำนาก็แทบจะไม่พอกิน ส่วนมากทำกินก็‌เฉพาะในครัวเรือน บางพื้นที่ก็ทำไร่ตามดอนเขาซึ่งกินได้ไม่ถึง‌ครึ่งปีด้วยซ้ำ จึงเห็นว่าการขนข้าวไปขายแทนที่จะช่วยเหลือ‌ประชาชนที่อดอยากเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เมื่อปล้นสินค้ามาได้ก็‌นำมาแจกจ่ายประชาชน ทำให้ผู้ส่งออกข้าวส่งคนมาเจรจาขอ‌ร้องอย่าให้ทำการปล้นอีก คำตอบท่านก็คือ ถ้าจะให้เลิกปล้นก็‌ต้องเลิกส่งข้าวออก ผู้ค้าข้าวก็ไม่ยอม เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ ‌ทางราชการจะไปปราบโจรก็ไม่ได้เพราะการยกกำลังไปเกาะ‌ตะรุเตาทำได้ยาก เดินทางไม่สะดวก ทะเลกว้างใหญ่กลุ่มโจร‌สามารถไปหลบตามเกาะแก่งที่ไหนก็ได้ ตัวขุนโจรเองก็ไม่เคยมี‌ใครได้พบเห็นท่าน ท่านคุมลูกน้องเป็นโจรสลัดอยู่ ๕ ปี

จาก“ขุนโจรอิสไมล์แอ”คอยปล้นเรือสินค้า สู่ร่มกาสาวพัสตร์!! “พระประยุทธ ธัมมยุตโต” ด้วยบารมีลิขิต ได้เป็นศิษย์ "หลวงปู่ตื้อ" พระอริยะสายพระป่า

ได้กรรมฐานแต่ไม่รู้ว่าเป็นกรรมฐาน

หลังจากใช้ชีวิตอย่างโชกโชนในคราบขุนโจร นายประยุทธ ‌สุวรรณศรี ก็กลับมาเยี่ยมบ้านที่หัวหิน โดยไม่มีใครรู้ว่าไปทำมา‌หากินอะไรมา

เมื่อมาถึงบ้านพบว่าแม่ได้เสียชีวิตไปแล้ว ที่ทำให้ท่าน‌สะเทือนใจและเสียใจมากที่ไม่มีโอกาสได้สนองคุณแม่เลย‌ เพราะพี่สาวและน้องสาวบอกว่า ตั้งแต่ท่านหายสาบสูญไม่มี‌ข่าวมาเลย ทำให้แม่เสียใจมาก เฝ้าแต่คร่ำครวญว่า“เล็กของ‌แม่”จนสิ้นใจ ที่เหลืออยู่ก็มีเพียงภาพถ่ายขนาดใหญ่เพียงภาพ‌เดียว ไม่มีน้ำตาจะหลั่งไหลให้ใครดู มันตกอยู่ข้างในท่านเป็นคนที่แม่รักมาก คำว่า“เล็กของแม่”ท่านได้ยินตั้ง‌แต่เล็กจนโตเป็นที่ซาบซึ้งใจที่สุด ระลึกถึงอ้อมอกอันอบอุ่นของ‌แม่ ระลึกถึงภาพที่แม่เคยปฏิบัติต่อท่าน ภาพต่างๆ ที่ผ่านมาได้‌เข้ามาในความคิดคำนึง ขณะที่นั่งอยู่หน้ารูปของแม่ พลันจิต‌ของท่านก็สงบและวูบลงไป

ขณะที่จิตของท่านกำลังสงบ ปรากฏชายร่างกายกำยำ ๔ ‌คนตรงเข้ามาจับตัวท่าน เข้าเครื่องขื่อคาลงทัณฑ์โดยไม่ฟัง‌อะไรทั้งสิ้น แล้วนำท่านไปสู่ขุมนรกอันมีกระทะทองแดงใบ‌ใหญ่ ร้อนมากไม่เคยเจออะไรร้อนอย่างนี้มาก่อน เป็นสิ่งที่‌สยดสยองเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรง จนท่านร้องเสียง‌หลงว่า“แม่ช่วยลูกด้วย”พลันก็มีใบบัวอันใหญ่เท่ากระด้งตาก‌ปลา มาช้อนร่างท่านขึ้นไปบนที่สูง นำท่านสู่วิมานลอยฟ้า อัน‌วิจิตรบรรจงที่ไม่มีสถานที่ใดในเมืองมนุษย์จะเปรียบได้ในวิมานนั้นปรากฏว่า มีนางฟ้าจำนวนเป็นร้อย ร่ายรำอยู่‌เบื้องหน้า แต่ละนางอายุประมาณ ๑๖-๑๗ ปี มีรูปร่างความงาม‌ดูละม้ายคล้ายคลึงกันที่งดงามและแปลกตาก็คือแต่ละนางสูง‌ศอกเท่าเทียมกัน

ทันใดนั้นมีนางฟ้านางหนึ่งดูงดงามเป็นพิเศษ ลอยออกจาก‌วิมารด้วยอาการแย้มสรวลมีเสน่ห์ นางลอยออกมาล่อหลอก ‌โฉบผ่านหน้าท่านไปมา เหมือนจะทักทายให้ไขว่คว้า ความรู้สึก‌ในขณะนั้นท่านได้ตามนางฟ้าเข้าไปในวิมาน แต่เมื่อท่านจะ‌ตามเข้าไปหานางก็ปิดประตูกั้นไว้ พอถอยออกมานางก็โผล่‌พักตร์มาล่อหลอกอีก ทำแบบนี้อยู่หลายครั้ง จนท่านนึกฉุนว่า‌ไม่ให้เข้า ก็ไม่ง้อและทำท่าถอยออกมา

นางจึงพูดว่า“ไปเสียก่อนเถอะ ไปสร้างบุญบารมีให้พอเสีย‌ก่อน แล้วค่อยมาเจอกันใหม่”

เมื่อท่านถอยวูบออกมาลืมตาขึ้น จึงรู้ว่านั่งอยู่ตรงรูปถ่าย‌ของแม่

นับว่าเป็นการได้กรรมฐานแล้วเป็นครั้งแรก แต่ท่านยังไม่‌ทราบว่าเป็นเพราะอะไรแม้แต่คำว่ากรรมฐานก็ยังไม่รู้จักการนิมิตเห็นสวรรค์ นรก ทำให้ได้พบความจริงว่าชีวิต‌มนุษย์นั้นต้องเป็นเช่นเดียวกันทั้งหมดไม่ตายไปลงนรก ก็จะได้‌ขึ้นสวรรค์

ท่านไม่รู้ว่ากรรมฐานได้เกิดแก่ท่านแล้วตอนนั้น มารู้ก็เมื่อ‌ไปอยู่กับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

แต่ก่อนจะหลับตาลงสู่ความสงบ ก็ได้บอกต่อรูปแม่ว่า

“แม่ต้องการอะไรขอให้ดลใจบอกให้รู้ ลูกจะทำทุกอย่างที่แม่ต้องการ แม้แต่เลือดเนื้อก็จะกรีดเพื่อทดแทนพระคุณ”

เป็น‌การเสี่ยงตายอุทิศชีวิตให้แก่แม่อย่างเด็ดเดี่ยว เหตุการณ์ทั้ง‌หมดในนิมิต เป็นผลจากการที่แม่ของท่านเป็นคนใจบุญสุนทาน ‌ได้สร้างสมบารมีอันเป็นกุศลไว้มาก ไม่ว่าเป็นทานและศีล‌อาศัยบารมีนี้มาช่วยลูกเอาไว้ได้จากขุมนรก

จาก“ขุนโจรอิสไมล์แอ”คอยปล้นเรือสินค้า สู่ร่มกาสาวพัสตร์!! “พระประยุทธ ธัมมยุตโต” ด้วยบารมีลิขิต ได้เป็นศิษย์ "หลวงปู่ตื้อ" พระอริยะสายพระป่า

หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็บอกพี่สาวน้องสาวว่า จะออก‌จากบ้านไปอีก ไม่แน่ใจว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะได้กลับมาพบกัน ‌พี่สาวเป็นห่วงกลัวน้องชายตกระกำลำบาก จะทักท้วงก็ไม่ได้ ‌เพราะรู้ว่าน้องชายเป็นคนเด็ดเดี่ยว ตั้งใจทำอะไรต้องทำให้ได้ ‌จึงเอาเงินวางให้ ๕,๐๐๐ บาท แต่ท่านเอาไปแค่ ๕๐๐ บาท ‌บอกว่าแค่นี้พอแล้ว ที่เหลือขอให้ทำบุญให้แม่ แล้วท่านก็จาก‌ไป ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้ใกล้ชิดท่านเล่าว่า ตอนนั้นท่านมีเงิน‌เป็นจำนวนมาก แต่เป็นเงินสมัยสงครามจะบอกให้ใครรู้ก็ไม่ได้‌จึงรับเงินพี่สาวมาพอเป็นพิธี

มุ่งชีวิตสู่สมณเพศ

จากพี่สาวน้องสาวมา นายประยุทธ สุวรรณศรี ก็มุ่งลงใต้‌เพราะมีเพื่อนพ้องและบริวารมาก ทั้งยังคุ้นเคยกับภูมิภาคแถบ‌นั้นได้ดี จากนั้นได้พบกับหลวงปู่ท่านหนึ่งทำให้เกิดความเลื่อม‌ใสในข้อวัตรปฏิบัติของท่าน จึงสละทรัพย์สินเงินทองและสร้อย‌คอหนัก ๑๐ บาท และพระเครื่องให้เพื่อน เพื่อแจกจ่ายกัน แล้ว‌นายประยุทธก็ขอบวชเป็นพระอย่างเงียบๆ ไม่มีพิธีรีตองยุ่งยาก ‌เรียกว่า“โกนหัวเข้าวัด”

ท่านพระอาจารย์ไม่ได้เปิดเผยชื่อหลวงปู่รูปนี้ แต่ท่านให้‌ความเคารพกราบไหว้หลวงปู่รูปนี้มากท่านได้อยู่ศึกษากับหลวงปู่รูปนี้เป็นเวลา ๑ ปี เรียนรู้พื้นฐาน‌การปฏิบัติธรรมกรรมฐาน และธุดงควัตรตามแบบพระป่าวันหนึ่งหลวงปู่ก็บอกท่านว่าหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว ให้‌ไปหาอาจารย์อีกรูปหนึ่งตอนนี้ท่านอยู่ทางภาคเหนือ พระ‌อาจารย์รูปนั้นจะเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน

เมื่อถามว่าหลวงปู่รู้ได้อย่างไรว่า อาจารย์รูปนั้นอยู่ทางภาค‌เหนือ หลวงปู่ได้พบแล้วหรือหลวงปู่บอกว่าไม่ได้พบหรอก แต่พูดกันทางจิต และได้ฝาก‌ฝังกับพระอาจารย์รูปนั้นในทางจิตและรู้เรื่องกันหมดแล้วหลวงปู่ยังได้บอกท่านว่า

- พระอาจารย์รูปนั้นท่าทางเป็นนักเลง อธิบายรูปร่างให้ฟัง‌อย่างละเอียด

- บอกเส้นทางที่จะเดินทางไปพบ แต่ไม่บอกชื่อของพระรูป‌นั้นให้ทราบที่สำคัญที่หลวงปู่สั่งก็คือการไปหาอาจารย์ท่านนั้น ขึ้นรถ‌ลงเรือไปไม่ได้ ต้องเดินธุดงค์ด้วยเท้าจากภาคใต้ไปถึงภาค‌เหนือจะนานเท่าไหร่ก็ตาม

เมื่อกราบลาหลวงปู่แล้ว ท่านก็เดินทางมุ่งหน้าขึ้นเหนือ...

จาก“ขุนโจรอิสไมล์แอ”คอยปล้นเรือสินค้า สู่ร่มกาสาวพัสตร์!! “พระประยุทธ ธัมมยุตโต” ด้วยบารมีลิขิต ได้เป็นศิษย์ "หลวงปู่ตื้อ" พระอริยะสายพระป่า

มุ่งมั่นบุกบั่นไปหา...ว่าที่พระอาจารย์

เมื่อกราบลาหลวงพ่อแล้ว ท่านก็เดินทาง‌มุ่งหน้าขึ้นเหนือ ตอนนั้นสงครามเพิ่งสงบ ทหารญี่ปุ่นที่ถูกปลดอาวุธและกองทัพของ‌พันธมิตรก็ยังต้องอยู่ในเมืองไทย ต่างก็เจอ‌ปัญหาเหมือนกับคนไทย คือ ไม่ค่อยมีอะไรจะ‌กิน มีการปันส่วนอาหารทั้งในเมืองและชนบท ‌คนที่อยู่ตามชนบท อำเภอ จะลำบากมาก‌หน่อย เดือนหนึ่งจะมีการปันส่วนอาหารและ‌ของใช้ให้สักหนึ่งครั้ง ต้องเดินทางกัน ๑๐-๒๐ ‌กิโล ได้ไม้ขีดมา ๑ กล่อง น้ำมันก๊าด ๑ ขวด ‌สินค้าขาดตลาด พ่อค้ากักตุน ทำให้เกิดเศรษฐี‌สงคราม ทางภาคเหนือเกลือหายากมากและ‌แพงมากกว่าทอง ชาวไร่ชาวนาทุกข์ทรมาน‌อย่างสาหัส การเดินธุดงค์ไปหาว่าที่พระ‌อาจารย์ของท่านเต็มไปด้วยความลำบาก เป็น‌พระที่ไม่มีสมบัติใดๆ ประชาชนก็ยากจนไม่มี‌อะไรจะใส่บาตร ต้องฉันผลไม้ป่าที่ลิงกินได้‌ประทังชีวิต

ความยากลำบากอันสาหัสครั้งนี้ทำให้ท่าน‌มีความเข้มแข็งอดทนและพากเพียร พยาม‌ยามที่จะไปกราบว่าที่พระอาจารย์ที่อยู่ ณ ‌เชียงใหม่ให้ได้ กลางคืนก็หยุดพักทำสมาธิ เช้า‌ก็เดินบิณฑบาตจะได้หรือไม่ก็ตาม ก็ไม่เป็น‌อุปสรรคต่อความตั้งใจของท่าน

ในตอนกลางวัน ท่านเดินธุดงค์ไม่ยอม‌หยุดยั้ง เดินผ่านลัดป่าดงดิบไม่มีถนนหนทาง‌สะดวกสบายอย่างในปัจจุบันตอนเดินผ่านหัวหินก็ไม่แวะบ้านไปเยี่ยมพี่น้อง เพราะใจจดจ่อต้องมุ่งหน้าไปพบว่าที่‌พระอาจารย์รูปนั้น ตามที่หลวงปู่ของท่านได้‌บอกไว้ท่านเดินทางจากใต้ขึ้นเหนือ ๓ เดือนเต็ม

คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม นั่นเอง

และแล้วพระบวชใหม่เพียงพรรษาเดียว ที่‌ตั้งใจบุกบั่น มุ่งมั่น ทรหดอดทน ตามหาว่าที่‌พระอาจารย์ ที่ไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักหน้าตา มีแค่‌รูปลักษณะ และเส้นทางการเดินทางจากที่‌หลวงปู่พระอาจารย์รูปแรกบอกไว้ ก็ได้มาถึง‌วัดที่มีศาลาเล็กๆ หลังหนึ่ง กุฏิก็ยังไม่แข็งแรง ‌เป็นไม้ไผ่หลังคามุงแฝก พอหลบฝนหลบแดด‌เพื่อปฏิบัติธรรมเท่านั้น มีพระเณรไม่กี่รูป

ท่านก็เดินตรงไปที่ศาลา หาพระที่มี‌ลักษณะท่าทางอย่างที่หลวงปู่พระอาจารย์รูป‌แรกบอกไว้ เห็นท่านหนึ่งนั่งอยู่ตามลำพังบน‌ศาลาโรงฉัน ลักษณะท่าทางเหมือนแบบไม่ผิด‌เพี้ยนเลย ซึ่งก็คือ “หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม” นั่น‌เอง จึงขึ้นไปกราบนมัสการและเรียนว่า ได้‌เดินทางมาจากทางใต้ ตั้งใจจะมาฝากตัวเป็น‌ศิษย์ขอปฏิบัติธรรม

หลวงปู่ตื้อก็ถามทันทีว่า “ก่อนบวชเคยทำ‌อาชีพอะไรมาให้บอกไปตามจริง”

ท่านก็คิดไม่ตกว่าควรตอบแบบไหนดี หลวงปู่ตื้อชี้หน้าบอกว่า “ให้บอกมาไม่‌เช่นนั้นจะไม่รับเป็นศิษย์”

ท่านจึงตอบไปว่า “เป็นโจรครับ”

หลวงปู่ตื้อพูดว่า “การเป็นศิษย์ต้องมีข้อแม้”

ท่านก็ตอบตกลงก่อนโดยไม่รู้ว่าข้อแม้คือ‌อะไร หลวงปู่ตื้อให้ท่านจุดธูปปักบนกระถาง‌หน้าพระประธานบนศาลาโรงฉัน แล้วให้พูด‌ตามว่า “จะบวชตลอดชีวิต ไม่ลาสิกขา”

ในขณะนั้น หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม พระป่า‌ที่โด่งดังในสายพระธรรมยุติกนิกาย เป็นลูก‌ศิษย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ผู้ที่ได้ฉายาว่า‌เป็นแม่ทัพธรรมอันยิ่งใหญ่ กำลังสร้างสำนัก‌สงฆ์ ซึ่งปัจจุบันคือ วัดป่าดาราภิรมย์ ต.ริมใต้ ‌อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ หลวงปู่ตื้อเป็นลูกศิษย์‌ท่านหนึ่งที่หลวงปู่มั่นให้ความไว้วางใจ และให้‌ร่วมติดตามไปธุดงค์อยู่หลายปี หลวงปู่มั่นเคย‌ปรารภกับสานุศิษย์ว่า “ใครอย่าไปดูถูกท่าน‌ตื้อนะ ท่านตื้อเป็นพระเถระ”

กิตติคุณของ‌หลวงปู่ตื้อนั้นมักกล่าวกันว่า เป็นคนพูดจาโผง‌ผาง ตรงไปตรงมา ไม่ชอบพูดอ้อมค้อม เกรง‌อกเกรงใจใคร เป็นการตัดปัญหาให้สั้นเข้า

ท่านพระอาจารย์ประยุทธได้เป็นศิษย์ตาม‌หลวงปู่ตื้อ ออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร‌อยู่เสมอ เว้นแต่เมื่อเวลาพากเพียรปฏิบัติจึง‌จะแยกไปอยู่ห่างๆ แค่พอไปมาหาสู่กันได้ไม่‌ไกลนัก เมื่อมีปัญหาติดขัดในการปฏิบัติ ก็จะ‌มาเรียนถามหลวงปู่ให้ท่านอธิบายอยู่เสมอ

หลวงปู่ตื้อหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

ครั้งหนึ่งพระเณรเข้ากุฏิกันเกือบหมดแล้ว ‌หลวงปู่สั่งให้เณรไปต้มน้ำกาใหญ่ เณรบอกว่า‌ไม่มีใครอยู่ฉันน้ำแล้ว หลวงปู่จะให้ต้มน้ำกา‌ใหญ่ไปทำไม หลวงปู่บอกให้ต้มก็ต้มไปเถอะ ‌ต้มน้ำชงชาแล้ว หลวงปู่ให้เณรเอาถ้วยชามา‌เตรียมไว้ ๕๐ ถ้วย

หลวงปู่บอกท่านพระอาจารย์ประยุทธว่า ‌คืนนี้จะมีญาติโยมมาจากกรุงเทพฯ

สักพักก็มีรถบัสมาจอดในบริเวณวัด ท่าน‌ให้นำน้ำชามาเลี้ยงญาติโยม ปรากฏว่าถ้วยชา‌ที่เตรียมไว้พอดีคนเลย ไม่ทราบท่านรู้ได้‌อย่างไร

อีกครั้งขณะที่ท่านกำลังนั่งคุยกับหลวงปู่‌และเณรท่านอื่นๆ หลวงปู่สั่งว่า “ตุ๊ไทย (หลวง‌ปู่ชอบเรียกท่านอย่างนี้เสมอ) ไปสรงน้ำไวๆ” ‌ซึ่งปกติหลวงปู่ไม่เคยยุ่งกับการสรงน้ำ แต่‌คราวนี้หลวงปู่กลับมาเร่ง

พระอาจารย์ประยุทธก็ถามหลวงปู่ว่า ‌“หลวงปู่ให้กระผมไปสรงน้ำทำไม”

หลวงปู่ตอบว่า “ให้ไปสรงก็ไปเถอะ เย็น‌นี้ ๖ โมงเย็นจะมีโยมผู้ชายมานิมนต์ไปปัดรังควานให้ลูกชายที่ตกต้นลำไย แต่เด็กมันต้องตายแน่ไม่รอดดอก อยากจะให้ตุ๊ไทย‌ไปแทน”

พระอาจารย์ประยุทธก็ไปสรงน้ำ ยังไม่ทัน‌ครองผ้า โยมที่ว่าก็ขับรถปิกอัพเข้ามาในวัด รีบ‌มากราบหลวงปู่นิมนต์ให้ไปปัดรังควานให้ลูก‌ชาย ท่านจึงไปแทนตามที่หลวงปู่บอกไว้

ท่านพระอาจารย์ได้รับการศึกษาอุบาย‌ธรรมอันเฉียบคมเป็นเวลา ๓ ปีจากหลวงปู่ตื้อ ‌ท่านมีความเลื่อมใสในหลวงปู่ตื้อมาก

จาก“ขุนโจรอิสไมล์แอ”คอยปล้นเรือสินค้า สู่ร่มกาสาวพัสตร์!! “พระประยุทธ ธัมมยุตโต” ด้วยบารมีลิขิต ได้เป็นศิษย์ "หลวงปู่ตื้อ" พระอริยะสายพระป่า

ที่มา : dharma-gateway.com