ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th

             เนื่องในวันที่ ๓๐ มกราคม เป็นวันคล้ายวันละสังขารของ หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" แห่งวัดป่าบ้านตาด ท่านเป็นวิปัสสนาจารย์สายพระป่าในประเทศไทย ศิษย์ของพระครูวินัยธรมั่น ภูริทตฺโต ซึ่งมีโอกาสอุปฐากรับใช้หลวงปู่มั่นในช่วงปัจฉิมวัยและเป็นผู้หนึ่งที่ได้บันทึกประวัติของหลวงปู่มั่นโดยละเอียด ถึงแม้ว่าเวลานี้ท่านไม่ได้อยู่กับเราแล้ว  ท่านกลายเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ซึ่งสมควรที่เราชาวพุทธจะต้องประดิษฐานไว้ในชีวิต ขอนำข้อความว่าด้วย "เทศนาครั้งสุดท้าย" ของหลวงตามหาบัว มาให้อ่านทบทวนกันอีกครั้ง เพื่อเป็นการรำลึกถึงคุณูปการที่ท่านมีต่อคนในชาติทั้งทางโลกและทางธรรม

เทศน์กัณฑ์สุดท้ายของหลวงตามหาบัว

"หมดธุระ... เราจะไม่มาเกิดอีกแล้ว"

           ก่อนหน้าที่ "หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน" จะละสังขารในวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔  เสียงเทศนาโปรดฆราวาสช่วงหลังฉันเช้าของทุกวันเป็นเวลาต่อเนื่องมานานหลายปีได้เงียบหายไปก่อนนั้นแล้วกว่า ๒ เดือน มกราคม ๒๕๕๔ ท่านมิได้แสดงธรรมเลย

เมื่อธันวาคม พ.ศ.๒๕๕๓ หลวงตาออกโปรดญาติโยมที่วัดเขาใหญ่เจริญธรรมญาณสัมปันโน ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ในวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๓  แต่ก็มิได้เทศน์อะไรอีกแล้ว และก่อนหน้านี้พฤศจิกายน ๒๕๕๓  ท่านออกโปรดญาติโยมที่วัดป่าเกสรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ผาแดง) ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๓  แต่ก็ไม่ได้เทศน์เสียแล้ว  มีแต่พูดคุยสอบถามอะไรเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ตรวจสอบกับเว็บ "หลวงตาดอทคอม" เว็บไซต์อย่างเป็นทางการของวัดป่าบ้านตาด พบว่าในเดือนพฤศจิกายน หลวงตามหาบัวเทศน์อบรมฆราวาสครั้งสุดท้าย ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓

เทศนากัณฑ์นี้ชื่อ "ความดีงามทั้งหมดลงในธรรมธาตุ"

          เช้าวันนั้น หลังจากศิษย์ใกล้ชิดรายงานเรื่องความก้าวหน้าของการสร้างตึก ๑๐ ชั้น มูลค่า ๕๐๐ ล้านบาท ที่โรงพยาบาลอุดรธานี รวมทั้งยอดเงินและทองคำที่ได้บริจาคเข้าคลังหลวงแล้ว ท่านเทศน์สั้น ๆ ก่อนจะบอกว่า  "หมดธุระแล้ว" คำเทศน์นั้นมีว่า ...

"เราก็พอใจเราที่ได้ช่วยโลกตามกำลังนะ  คือ การปฏิบัติของเราทั้งหมดนี้ให้ออกนอกหมดเลย ออกเป็นประโยชน์โลก  เราไม่สั่งสม ไม่เก็บอะไรทั้งนั้น  ออก ๆ เลย ออกหมดเลย  แล้วอันนั้น (ตึกสงฆ์อาพาธ ๑๐ ชั้น ที่หลวงตาเมตตา) นี่ก็ใช่แล้ว  ตึก ๑๐ ชั้น ตั้ง ๑๐ ชั้นนะ  ตึก ๑๐ ชั้น อันนั้นก็อยู่ด้วยกัน จะเป็นอยู่ในบริเวณเดียว  สร้างด้วยกันนะ ให้มันพอ  เอาให้พอเสียทุกอย่าง  เวลาพอจริง ๆ มาพอที่นี่นะ  สร้างที่ไหน ๆ ก็กวาดต้อนเข้ามา ๆ  เวลาเข้ามาแล้วมาอยู่ที่ดวงใจ  ใจกับธรรมเป็นอันเดียวกัน  เรียกว่า ‘ธรรมธาตุ’  นั่นล่ะสุดยอด  สร้างความดีงามทั้งหมดมา มาลงในธรรมธาตุ ให้พรนะ หมดธุระแล้วให้พร"

 

ก่อนจะกล่าวว่า "หมดธุระแล้ว" ในวันที่ ๙ พฤศจิกายน  ท่านเทศน์เรื่องการปฏิบัติ  เทศนากัณฑ์นี้มีชื่อว่า "ปฏิบัติตัวเองเอาจริง"  ท่านเทศน์เรื่องการปฏิบัติของท่านราวจะบอกกับศิษย์ว่าให้ "ปฏิบัติตัวเองเอาจริง" เทศนานั้นมีความว่า ...

          เขาว่าอาจารย์มหาบัวนี้ดุเก่งนะ  ได้ยินทั่วโลกต่อไปนี้จากนั้นมาให้เบาลงๆ เดี๋ยวนี้ไม่ได้ยินเลยว่าอาจารย์มหาบัวดุ หายไปไหนก็ไม่รู้  มันไปกับเจ้าของ เจ้าของแก่เข้าใจไหม บารมีอะไรถึงว่าดุๆ ดุแบบไหนวะ บารมีอะไรที่ว่าดุ จริงๆ นะ  ตั้งแต่ก่อนมีแต่พระแต่เณรเฉพาะๆ  โอ๊ย.. เข้มข้นมากนะ  การปฏิบัติเหมือนกันตานี้รวดเร็ว ตารวดเร็ว หูก็รวดเร็ว เดี๋ยวแป๊บนู้น เดี๋ยวนี้แป๊บนี้กับพระกับเณรล่ะ  เป็นอย่างนั้นล่ะ  นู่นออกมานู้น อยู่กุฏินี้ออกมาช่องนั้นมาต้นค้อ ลงไปนู้น ลงไปน้ำบ่อ  เห็นพวกพระพวกอะไรตอนบ่ายสองโมง  พวกพระพวกอะไรมาฉันน้ำร้อนน้ำชาหรืออะไรอยู่นั้น  พอมองเห็นเราทางนู้นนะ เราออกทางนู้น  มองเห็นทางนี้ เราออกทางนู้น  เราไปทางนู้นนะ  เราไม่ได้มานี่  ไปทางนู้นเสียก่อน  ไปก็ไปดูนะ ไม่ใช่ธรรมดา  ไปดูสอดนั้นแสกนี้  อะไรบกพร่อง อะไรไม่ดี ระเกะระกะ  อันนั้นล่ะกลับมา  ทีนี้กลับมาได้เรื่องล่ะ  เพราะอย่างนั้น พระเณรถึงกลัวสิ

          มันมาจากการปฏิบัติของตัวเองแต่ดั้งเดิมการปฏิบัติตัวเองเอาจริงๆ นะ ว่าดัดเจ้าของนี้  เอาจริงมากทีเดียว  เคลื่อนไม่ได้  ยิ่งเวลาเห็นคนอื่นมันขวางตาก็ใส่เลย  มองไปเห็นคนอื่น คนอื่นมันขวางตาเอาล่ะๆ นั่นล่ะพระเณรกลัว กลัวเพราะเหตุนี้ เพราะดุ เจ้าของดุจริงๆ บกพร่องตรงไหนๆ ดัดๆ ตลอด ที่พระเณรมันกลัว  นู่น ออกจากนู้นไปนู่น  พระฉันน้ำร้อนน้ำอะไรอยู่ที่นู่น  เราออกมานู่น ตรงไปนู้น  พอกลับมาเห็นพวกแก้วน้ำแก้วอะไรล้มระนาวเลย  เจ้าของหายหมดไม่มีเหลือ  พวกแก้วน้ำแก้วอะไรต่ออะไร พวกน้ำร้อนน้ำชานั่นละ ตอนบ่ายสองโมงมาหายหมด เห็นพระองค์หนึ่งอยู่ข้างหลังคอยเก็บ พอมาก็ขึ้นเรา  เณรเป็นอย่างไร  ทั้งกินทั้งเททั้งอะไรต่ออะไรนี่ล่ะ  เป็นเพราะเหตุไร  เราลงไปนู้นล่ะ กลับขึ้นมาพระเณรหนีหมดแล้ว  แต่แก้วสาดกระจาย  เป็นอย่างนั้นล่ะ  เอาจริงนะ  เราแต่ก่อนเป็นอย่างนั้นจริงๆ  ดัดเจ้าของก็อย่างนั้นล่ะ เคลื่อนคลาดไม่ได้ ว่าอะไรเป็นอันนั้น ดัดเจ้าของ เจ้าของเหลาะแหละแล้วว่าคนอื่นไม่ได้นะ  คือเราฝึกเจ้าของก็ฝึกอย่างนั้นล่ะ  เอาจริงๆ จังๆ

            พอพูดเรื่องนี้แล้วระลึกพ่อแม่ครูอาจารย์มั่นอยู่หนองผือ  อยู่ๆ ท่านก็ "เออ" ท่านว่ามีพระนวดเส้นถวายท่านอยู่สององค์ ส่วนมากเรื่องของท่านกับของเราพอพูดเรื่องอะไรเกี่ยวกับเรา พระเณรจะมาเล่าให้ฟังหมดมาเล่าให้เราฟังนะ แต่กับท่านจริงๆ ไม่เคย ไม่พูด  ถ้าท่านพูดเรื่องของเราแล้วพระเณรเป็นต้องมาเล่าให้เราฟัง เราก็เหมือนไม่ได้ยินเฉย ท่านก็เหมือนไม่ได้พูด เฉยเลย  "เวลาผมตายแล้ว ท่านทั้งหลายจะอาศัยใครล่ะ’" ท่านพูดมาลอยๆ นะ อยู่เงียบๆ  พระเณรนวดเส้นถวายท่าน พูดธรรมะธัมโมเลิกกันไปล่ะนะ ก็มีพระเณรนวดเส้นถวายท่าน  พูดเกี่ยวกับเราในเวลาว่างๆ นะ  ไม่ใช่ท่านจะพูดบ่อยๆ  ท่านพูดเวลาโอกาสว่างๆ เงียบๆ  อยู่ๆ ก็  "เวลาผมตาย พวกท่านจะอาศัยใครล่ะ"  ท่านว่าอย่างนั้นนะ  พระเณรก็หูหนวกตาบอด ปิดปากหูอยู่ลึกๆ ฟังเงียบๆ  ท่านว่า  "เวลาผมตายนี้ พวกท่านทั้งหลายจะอาศัยใครล่ะ" ท่านว่าอย่างนั้นล่ะ

           นานๆ จะได้ยินทีหนึ่ง ท่านพูดอย่างนี้นะ ท่านไม่ได้พูดบ่อย โอกาสดีๆ  เพราะท่านจอมปราชญ์ท่านจะพูดสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ พูดออกมาคำไหน เอาไปพิจารณาแล้วถูกต้องหมดนะ  คือท่านไม่ได้พูดสุ่มสี่สุ่มห้าท่านเอง  เราก็ไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้ากับท่าน  ไม่ได้  ฟังก็ต้องเงียบ  เราก็ดี ใช้สติปัญญาฟัง  เป็นอย่างนั้นตลอด  เวลาท่านว่า  "เออ.. ผมตายแล้ว พวกท่านจะอาศัยใครล่ะ"  อยู่ๆ ก็  "เออ.. เวลาผมตายแล้วให้อาศัยท่านมหานะ"  ไม่พูดมากนะ  "ให้อาศัยท่านมหานะ"  ท่านไม่ออกบัว  เพราะมีมหาองค์เดียว  "ให้อาศัยท่านมหานะ"  ท่านมหาสำคัญอยู่นะ ทั้งภายในภายนอก ภายในจิตใจ ภายนอก ... ปฏิบัตินั่นล่ะทั้งภายในภายนอก ใครจะไปแหลมคมยิ่งกว่าพ่อแม่ครูอาจารย์มั่น ตาแหลมคมมากทีเดียว ความคิดความอ่านออกมาช่องไหนๆ นี้ เรานำไปพิจารณาถูกต้องหมดเลย  แต่กับเราไม่ค่อยได้ดุ  มันตัวเก่ง มันหลบหมัดเร็ว หลบหมัดเร็ว เหล่านั้นดุเรื่อย ดุเรื่อย กับเราไม่ค่อยได้ดุ"

             หากพิจารณาจากเทศนาสองกัณฑ์สุดท้ายนี้ก็อาจพอสรุปได้ว่า  ท่าน "หมดธุระ" แล้ว  และถ้าจะปฏิบัติก็ให้ฝึกตัว ดัดตัวเองอย่างเอาจริงเอาจริง หลวงตามหาบัวเทศน์ไว้ก่อนนี้หลายปีแล้วว่า  เงินที่คนทั่วประเทศบริจาคมาที่ท่านนั้นยกให้คลังหลวงหมด  ตายแล้วก็ต้องเป็นอย่างนั้น  เพราะจะเป็น

"วาระสุดท้ายของเราที่จะช่วยโลกอย่างเต็มหัวใจ" เพราะหลังจากนี้  "เราจะไม่มาเกิดอีกแล้ว  เราบอกตรงๆเลย จะเป็นวาระสุดท้ายของเราที่ตายกองกันในวัฏจักรนี้  กี่กัปกี่กัลป์มา เราเคยตายมาแล้วกี่ภพกี่ชาติ คราวนี้เลิกกัน"

             ขณะที่ท่านทิ้งธาตุขันธ์ก่อนขึ้นกองฟอนเพื่อ "ประโยชน์แก่โลกนี้ เพื่ออุ้มชาติไทยให้เต็มสติกำลังความสามารถ" เป็นครั้งสุดท้าย ที่เหลือนั้น  "ดีดปั๊บในทันที  ดีดแล้วก็เท่านั้นไปเลย  คำว่า "นิพพานธาตุ" หรือ "ธรรมธาตุ" เราไม่ถามใครแล้ว" ท่านหมดธุระแล้ว และลาโลกครั้งนี้ลาลับ ...

 

"เราจะไม่มาเกิดอีกแล้ว"!!

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.tueansati.com