ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ https://www.facebook.com/partiharn99/

พระราชดำรัสในงานทรงดนตรีตามมหาวิทยาลัยต่างๆ นั้นนับได้ว่าเป็นบันทึกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ เช่นในปีพ.ศ. ๒๕๑๒ ก่อนนั้นเล็กน้อยมีการตีกันในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงได้มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า

ถึงกับจ๋อยกันไปเลย !!! นิสิตยกพวกตีกัน เจอพระราชกระแสรับสั่งจากในหลวงร.๙ “ถ้าอยากตีหัวกันก็บอกให้ทราบ...”

“...ถ้ามีเหตุผลที่จะตีหัวกัน ก่อนที่จะตีหัวกัน ขอบอกว่าให้มาแยกธาตุกันเสียก่อน ถ้าหากว่าจะมีเรื่องที่จะตีหัวกันจริงๆ ยินดีจะมาทุกเมื่อไม่ต้องวันที่ ๒๐ กันยาก็ได้ คือว่าถ้าอยากจะตีหัวกัน แล้วก็วางแผนกันที่จะตีหัวกันเองน่ะ ขอร่วมสนุกด้วย เดี๋ยวนี้การตีหัวกันเขามีเท็คนิคสูงแล้ว ก็เท็คนิคสูงนี้น่ะ เมื่อพัฒนามากก็รู้สึกว่า เราก็จะต้องพัฒนาการตีหัวกัน การตีหัวด้วยไม้มันล้าสมัยแล้ว มาตีด้วยท่อนเหล็กก็เป็นสมัยเหล็ก มาตีหัวกันด้วยระเบิด จะเป็นขวดหรือไม่ขวด ก็เป็นสมัยโนเบล โนเบลได้ค้นคิดดินระเบิด แต่ท่านไม่ได้คิดค้นมาสำหรับโยนสังหารกัน ถ้าจะตีหัวอย่างสมัยใหม่จริงๆ มาตีหัวกันด้วยคอมพิวเตอร์ดีกว่า...”

ถึงกับจ๋อยกันไปเลย !!! นิสิตยกพวกตีกัน เจอพระราชกระแสรับสั่งจากในหลวงร.๙ “ถ้าอยากตีหัวกันก็บอกให้ทราบ...”

ก่อนจะเสด็จฯกลับ ก็ได้มีพระราชกระแสรับสั่งย้ำอีกว่า

“ก็ขอขอบใจอีกที วันนี้ที่ปิดรายการช้าไป...ก็เป็นวันหรือเป็นถึงคืนที่สนุกมาก ขอให้ทุกคนได้ช่วยกันทำให้มหาวิทยาลัยนี้มีความครึกครื้นมีความร่าเริง มีความเรียบร้อย สำเร็จทุกประการตลอดปี ถ้าอยากตีหัวกันก็บอกให้ทราบ แต่หวังว่าจะไม่ตีหัวกันก่อนปีหน้า”

นิสิตจุฬาฯค่อยๆเดินออกจากหอประชุมกันอย่างเงียบกริบ ทั้งคนที่ริอ่านตีหัวเพื่อน และคนที่ถูกตีหัว

ถึงกับจ๋อยกันไปเลย !!! นิสิตยกพวกตีกัน เจอพระราชกระแสรับสั่งจากในหลวงร.๙ “ถ้าอยากตีหัวกันก็บอกให้ทราบ...”

คัดจากหนังสือ"พระราชอารมณ์ขัน โดยวิลาศ มณีวัต"