เกิดความกล้าอย่างอัศจรรย์!! เมื่อ "หลวงปู่ขาว" กับ "หลวงปู่แหวน" ผจญกับ "ช้างป่า" เดินจงกรม จิตภาวนาพุทโธ จนใจหายกลัวอย่างสนิทใจ !!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

            เนื่องในวันที่ ๑๓ มีนาคม เป็นวันช้างไทย จึงขอนำเรื่องราวของช้างไทย ที่เกี่ยวข้องกับพระป่ากรรมฐานสายหลวงปู่มั่น นั่นก็คือ หลวงปู่ขาว อนาลโยกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ เมื่อครั้งได้ออกธุดงค์ไปที่บ้านแม่ปาง จังหวัดลำปาง ก็มีเหตุผจญภัยกับช้างใหญ่

            หลวงปู่เล่าว่า พอผ่านเรื่องช้างจากคราวนั้นแล้วไม่นาน ก็ไปเจอช้างใหญ่อีกครั้งหนึ่งที่แม่ปาง จังหวัดลำปาง คราวนี้เป็นช้างป่าจริงๆ ไม่ใช่ช้างบ้านที่เขาเลี้ยงไว้เหมือนกับคราวก่อน เหตุการณ์เกิดในตอนกลางคืน ขณะที่หลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่ ได้ยินเสียงสัตว์ใหญ่คือช้างบุกเข้ามา เสียงไม้หักปึงปังมาตลอดทาง เมื่อพิจารณาดูแล้วเห็นว่ามันจะต้องมุ่งโฉมหน้ามาทางที่ท่านอยู่อย่างแน่นอน

           เสียงช้างใกล้เข้ามาทุกที ยามกลางคืนดึกดื่นเช่นนั้นไม่รู้ว่าจะหลบหลีกไปทางไหนได้ทัน พลันได้คิดว่าช้างป่าทั้งหลายกลัวแสงไฟ จะก่อกองไฟก็ทำไม่ได้ เพราะผิดพระวินัย (อาจทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยตายได้ แม้แต่ขุดดิน ถางหญ้า เด็ดใบไม้ ดอกไม้ เก็บผลไม้ ตัดต้นไม้ ก็ทำไม่ได้เช่นกัน) เผอิญช่วงนั้นมีคณะทหารมากราบหลวงปู่ แล้วได้ถวายเทียนไขท่านไว้จำนวนหนึ่ง หลวงปู่รีบออกจากทางเดินจงกรม ไปเอาเทียนไขที่อยู่ในกุฏิที่พักมาทั้งหมด มาจุดแล้วเอาไปปักเรียงรายตามทางเดินจงกรม สายตาคนเรามองดูแล้วสว่างไสว แต่ช้างจะมองเห็นในแง่ไหนเราไม่ทราบได้

ช้างมาประชิดตัว

          พอหลวงปู่จุดเทียนปักไว้เสร็จเท่านั้น ช้างก็มาถึงพอดี ท่านไม่มีทางหลบหลีกปลีกตัว ได้แต่ตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ จงช่วยคุ้มครองป้องกันอย่าให้ช้างใหญ่ตัวนี้ทำอันตรายแก่ข้าพระพุทธเจ้าได้ พออธิษฐานจบ ช้างก็เข้าประชิดทางจงกรมพอดี มันหยุดยืนกางหูผึ่งอยู่ ไม่กระดุกกระดิกอวัยวะส่วนใดๆ อยู่ข้างทางเดินจงกรม ห่างจากหลวงปู่เพียงวาเศษ ท่ามกลางแสงเทียนไฟสว่างไสว ตามแนวทางเดิน ทำให้มองเห็นช้างได้ถนัดชัดเจน

          หลวงปู่ท่านว่า ความรู้สึกบอกว่าช้างนั้นตัวใหญ่เท่าภูเขาลูกย่อมๆ นี่เอง ท่านเพียงชำเรืองหางตาดูมัน แล้วข่มใจเดินจงกรมไปมาไม่ แสดงท่าทางสนใจมันเลย ทั้งที่ใจจริงแล้วนึกกลัวมันเต็มที่ ท่านบอกว่าใจเหมือนกับจะขาดลมหายใจไปแล้ว ตั้งแต่เห็นช้างตัวใหญ่เดินรี่เข้ามาหาอย่างผึ่งผายตั้งแต่ทีแรก หลวงปู่เดินจงกรมไปมา กำหนดคำบริกรรมว่าพุท-โธ อย่างถี่ยิบ ไม่กล้าส่งใจไปนอกตัว มีความรู้สึกที่เกี่ยวพันกับองค์พุทโธอย่างเหนียวแน่น ที่น้อมระลึกมาเป็นองค์ประกันชีวิตเท่านั้น นอกจากนั้นไม่ได้นึกถึงอะไรเลย แม้ช้างตัวที่ใหญ่โตเท่าภูเขาทั้งลูกมายืนอยู่ข้างทางเดินจงกรม ท่านก็ไม่ยอมส่งจิตออกไปหามัน กลัวจิตจะพรากจากพุทโธซึ่งเป็นองค์สรณะ คือที่พึ่งอันประเสริฐสุดในเวลานั้น

เกิดความกล้าอย่างประหลาด

            หลวงปู่เดินจงกรมไปมา พุทโธกับจิตกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จนใจหายกลัว เหลือแต่ความรู้กับคำบริกรรมพุทโธ ซึ่งกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันช้างยังคงยืนคุมเชิงหลวงปู่อยู่ ราวกับภูเขาไม่ยอมกระดุกกระดิกตัว ท่านชำเรืองหางตาดูเห็นหูมันกางผึ่งราวกับจะแผ่เมตตาให้ก็ไม่ยอมรับ เท่าที่เห็นมันเดินเข้ามาหาท่านทีแรก เหมือนดังจะเข้ามาขยี้ขยำท่าน อย่างไม่รีรอแม้ชั่ววินาทีหนึ่งเลย แต่ขณะนั้นมันกลับยืนตัวแข็งทื่อราวกับสัตว์ไม่มีหัวใจ พอจิตกับพุทโธเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ท่านก็หายกลัวแถมเกิดความกล้าหาญขึ้นมาอย่างประหลาด สามารถเดินไปหามันอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ ทั้งสิ้น

           แต่ท่านมาคิดอีกแง่หนึ่งว่า การเดินเข้าไปหาช้างป่าซึ่งเป็นสัตว์ดุร้าย อาจเป็นฐานะแห่งความประมาทอวดดีก็ได้ เป็นสิ่งไม่ควรทำ หลวงปู่จึงยังเดินจงกรมไปตามปกติ แข่งกับการยืนของช้างอย่างองอาจกล้าหาญ ราวกับไม่มีภัยอันตรายใดๆ เกิดขึ้น ณ ที่นั้น นับแต่ขณะช้างป่าตัวนั้นเดินเข้ามายืนอยู่ที่นั่น เป็นเวลาชั่วโมงเศษๆ ไฟเทียนไขชนิดยาวๆ ที่จุดไว้บางเล่ม ก็เหลือสั้นจวนจะหมด ยังมีเปลวเทียนแสงริบรี่เท่านั้น พลันช้างหันหลังกลับไปทางเดิมที่มันมา และเที่ยวหากินแถบบริเวณนั้น เสียงหักกิ่งไม้กินเป็นอาหารดังสนั่นป่าทีเดียว

เชื่อมั่นในจิตกับพุทโธ

            หลวงปู่ขาวได้เห็นความอัศจรรย์ของจิต และความอัศจรรย์ของพุทโธ อย่างประจักษ์ใจในคราวนั้น เพราะเป็นคราวขับขันจริงๆ ไม่สามารถหลบหลีกปลีกตัวไปที่ไหนให้พ้นได้ นอกจากต้องสู้ด้วยวิธีนั้นเท่านั้น แม้ตายก็ยอมเพราะไม่มีทางเลือกอื่น นับแต่เหตุการณ์นั้นมา ทำให้เกิดความมั่นใจว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าจิตกับพุทโธได้เข้ามาสนิทสนมกลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยหลักธรรมชาติแล้ว ไม่มีอะไรสามารถทำอันตรายได้อย่างแน่นอน นี่เป็นความเชื่ออย่างสนิทใจของหลวงปู่ตลอดมา

             หลวงปู่บอกว่าช้างตัวนั้นก็เป็นช้างที่แปลกอยู่มาก เวลาเข้ามาถึงที่นั่นแล้ว แทนที่จะแสดงอาการอย่างไรก็ไม่แสดง คงยืนนิ่งหูกางอย่างสงบ เฝ้าดูท่านเดินจงกรมกลับไปกลับมาอย่างไม่แสดงอาการเบื่อหน่าย พอดูเต็มตาและเต็มที่แล้วก็หันหลังกลับทางเก่า แล้วเที่ยวหากินไปตามประสาของมัน และหายเงียบไปเลย มันเป็นสัตว์ที่น่ารักอีกตัวสำหรับท่าน หลวงปู่บอกอีกว่า ช้างตัวนี้น่ารักไม่แพ้ตัวที่มากินมะขามเปรี้ยว ตัวนั้นเป็นสัตว์บ้านที่รู้ภาษาคนได้ดี ส่วนตัวหลังนี้เป็นสัตว์ป่ามาแต่กำเนิด อายุคงไม่ต่ำกว่าร้อยปี ไม่อาจรู้ภาษาคนได้ ท่านจึงไม่ได้พูดอะไรกับมัน เป็นแต่เดินจงกรมเฉยอยู่อย่างนั้น

ช้างเทพบันดาล

           ช้างตัวหลังที่มาหาหลวงปู่นั้นไม่มีลูกพรวนแขวนคอ และไม่มีเครื่องหมายใดๆ ที่บ่งบอกว่าเป็นช้างบ้าน ทั้งชาวบ้านก็ยืนยันว่าเป็นช้างป่า และเคยเป็นนายโขลงมานาน เฉพาะคราวนี้ทำไมจึงแตกโขลงมาเที่ยวแต่ตัวเดียวก็ไม่ทราบ อาจจะพรากจากโขลงมาชั่วคราวก็ได้ แม้ช้างตัวนั้นหนีไปแล้ว หลวงปู่ก็ยังเดินจงกรมต่อไป ด้วยความอัศจรรย์ใจ และเห็นคุณค่าของช้างตัวนั้นที่มาช่วยให้จิตท่านได้เห็นความอัศจรรย์ในธรรมเกี่ยวกับความกลัวความกล้า ช้างตัวนี้มาช่วยเสริมให้รู้เรื่องนี้ได้อย่างประจักษ์ใจ หมดทางสงสัย

            ช้างตัวนั้นจึงเหมือนช้างเทวบุตรหรือช้างเทพบันดาลก็ไม่น่าจะผิด เพราะธรรมดาช้างในป่า ซึ่งไม่คุ้นเคยและให้อภัยแก่ผู้ใด นอกจากมันจะสู้ไม่ไหวจริงๆ แล้ว จึงรีบวิ่งหนีเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ช้างตัวนี้ตั้งหน้าตั้งตาเดินหน้าเข้าหาหลวงปู่ด้วยตัวของมันเอง มิได้ถูกบังคับขู่เข็ญด้วยวิธีใดๆ หรือจากผู้ใด มันเดินตรงเข้ามาหาหลวงปู่ทั้งที่ไฟก็สว่างอยู่รอบด้าน แทนที่มันจะตรงเข้าขยี้ขยำร่างของท่านด้วยกำลังของมัน กลับไม่ทำ หรือแทนที่จะตกใจกลัวไฟรีบหนีเข้าป่า ก็ไม่ไป กลับเดินอย่างองอาจเข้าหาหลวงปู่ พอมาถึงกลับยืนดูหลวงปู่เดินจงกรมไปมาเป็นเวลาตั้งชั่วโมงเศษๆ แล้วมันก็หันหลังกลับไป โดยไม่แสดงอาการกล้าหรือกลัวใดๆ ทั้งสิ้น หลวงปู่บอกว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดและน่าพิศวงมาก จากคราวนั้นมาไม่ว่าหลวงปู่จะไปหรือพักที่ใด ก็ไม่คิดกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะเชื่อธรรมอย่างถึงใจแต่บัดนั้นเป็นต้นมา สมกับธรรมในบทที่ว่า พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติ ไม่ปล่อยให้ตายจมดินจมน้ำแบบขอนซุงแน่นอน

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ ท่องถิ่นธรรม พระกัมมัฏฐาน