- 28 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากละครบุพเพสันนิวาสที่กำลังเป็นกระแสอยู่ในขณะนี้ โดยสัปดาห์นี้ในละครจะมีการถวายสาส์นจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราช โดยผู้จัดละคร อย่างคุณหน่อง อรุโณชา ได้เผยกับทาง รายการ เรื่องเล่าเช้านี้ ว่า ในวันนี้ (28 มีนาคม 2561) จะมีฉากประวัติศาสตร์สำคัญยุคพระนารายณ์ ในละครบุพเพสันนิวาส โดยความทุ่มเทของเหล่านักแสดง และเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง โดยทางผู้จัดละครตั้งใจ ทุ่มเท ทำให้เหมใือนภาพในประวัติศาสตร์จริงๆ
หากย้อนไปเมื่อ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2228 คณะฑูตจากฝรั่งเศส นำโดยราชฑูต เชอวาลิเยร์ เดอ โชมงต์ (Chevalier de chaumont) เข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน์ของ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา การส่งฑูตเข้ามาถวายพระราชสาสน์ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์สามประการคือ ต้องการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ต้องการชักจูงให้สมเด็จพระนารายณ์เข้ารีตนับถือศาสนาคริสต์ และส่งเสริมความสัมพันธ์ทางการค้า
สำหรับการพยายามโน้มน้าวให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงไปเข้ารีตนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ส่งราชทูตมาขอร้องให้สมเด็จพระนารายณ์มหาราชเข้ารีต โดยเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นคนกลาง แต่เนื่องจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงมีความเคารพนับถือในพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จึงไม่ทรงยอมเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ ประกอบกับข้อความที่ปรากฏในพระราชสาส์นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีใจความลักษณะเชิดชูศาสนาของตนเองมากจนเกินไป และยกตนข่มท่าน จนสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้รับสั่ง ฝากเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน เป็นใจความว่า ใครไปทูลพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสว่า เราจะนับถือศาสนาคริสต์ ซึ่งพระยาวิชาเยนทร์ ฟอลคอน ก็ทูลว่า พวกบาทหลวงที่มาอยู่ในกรุงศรีอยุธยาได้กราบทูลไว้ โดยเห็นการที่พระองค์ทรงให้การอุปถัมภ์บำรุงศาสนาต่าง ๆ จึงเข้าใจว่าเป็นอย่างนั้น สมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงชี้แจงให้เข้าใจว่า
"เรื่องของความเป็นมิตรสนิทสนมส่วนตัวระหว่างพระองค์กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การจะเปลี่ยนศาสนาซึ่งนับถือกันมาถึง 2229 ปี ไม่ใช่เป็นของง่าย ถ้าพวกบาทหลวงต้องการจะให้พระองค์นับถือศาสนาคริสต์ ก็ขอให้ชักชวนราษฎรให้เข้ารีตเป็นคริสต์ให้หมดเสียก่อน แล้วพระองค์จะทรงเป็นคริสต์ทีหลัง"
อีกประการหนึ่ง การกระทำของบาทหลวงก็ดี การกระทำของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ดี พระองค์ทรงมีความรู้สึกว่าเป็นการก้าวก่ายกับฤทธิ์อำนาจของพระผู้เป็นเจ้า เพราะการที่ศาสนาในโลกมีอยู่หลายศาสนานั้น ก็น่าจะเป็นความประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จึงปล่อยให้เป็นไปดังนั้น ถ้าไม่อย่างนั้น พระผู้เป็นเจ้าก็คงจะดลบันดาลให้มีอยู่เพียงศาสนาเดียว เมื่อพวกคริสต์มีความเชื่อว่าพระเจ้ามีฤทธิ์มากเช่นนี้ แสดงว่าพระเจ้ามีพระประสงค์จะให้พระองค์นับถือพระพุทธศาสนาไปก่อน ถ้าหากว่าพระเจ้ามีความประสงค์จะให้พระองค์เข้ารีตเป็นคริสตศาสนิก ก็ขอให้พระเจ้าซึ่งเชื่อกันว่ามีฤทธิ์ มีอำนาจดลบันดาลให้พระทัยของพระองค์เลื่อมใสในศาสนาคริสต์เสียก่อน เมื่อพระองค์ทรงมีพระราชศรัทธาเลื่อมใสขึ้นในวันใด ก็จะทรงเข้ารีต แล้วก็ทรงตบท้ายด้วยประโยคที่คมคายว่า
"เราจึงของฝากชะตากรรมของเราและของกรุงศรีอยุธยา สุดแต่พระผู้เป็นเจ้าจะดลบันดาลเถิด พระเจ้ากรุงฝรั่งเศสผู้เป็นพระสหายของเราอย่าได้ทรงเสียพระทัยเลย"
พระราชดำรัสครั้งนี้ถือว่า เป็นพระดำรัสทางการทูตที่ยอดเยี่ยมมาก ทางฝรั่งเองก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะโฆษณาสรรพคุณของพระเจ้าตนเองไว้เป็นอันมาก
ขอบคุณข้อมูลจาก : https://www.baanjomyut.com/library_2/extension-3/buddhism_into_thailand/17.html
ขอบคุณคลิปจาก : รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ช่อง 3