- 26 เม.ย. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
คุณสุรินทร์ นันทเกียรติวงษา ซึ่งปัจจุบันประกอบอาชีพส่วนตัว อยู่ที่อำเภอเมืองบุรีรัมย์ ได้กรุณาเล่าให้ฟังว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เห็นจะได้ คุณสุรินทร์ ได้ยินกิตติศัพท์เล่าลือถึงความเป็นพระแท้ซึ่งมีวัตรปฏิบัติอันงดงามและความ ศักดิ์สิทธิ์บางประการของหลวงปู่สุข ก็เกิดความสนใจและอยากพิสูจน์ว่าเป็นความจริงดังที่เขาเล่าลือกันหรือไม่ จึงได้เดินทางไปที่วัดโพธิ์ทรายทอง เพื่อการพิสูจน์ดังกล่าว
ได้พบหลวงปู่สุขในขณะนั้น ท่านก็เป็นพระที่มีอายุมากแล้ว และท่านมิได้จำวัดอยู่ภายในกุฏิเหมือนดังเช่นพระภิกษุรูปอื่น ๆ หากแต่ท่านยึดเอามุมหนึ่งของชานศาลาหรือกุฏิราม ซึ่งปัจจุบันได้รื้อไปแล้วเป็นที่จำวัดตลอดจนเป็นที่รับแขกเบ็ดเสร็จในที่ เดียวกันนั้น ที่จำวัดและรับแขกของท่านก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากผ้านวมเก่า ๆ ผืนหนึ่งซึ่งปูแทนเสื่อมีหมอนใบหนึ่ง และมีผ้าขนหนูขนาดใหญ่ผืนหนึ่งซึ่งเก่าคร่ำคร่าจนแลดูไม่อออกว่ามีสีอะไร ใช้แทนผ้าห่มเท่านั้น ส่วนมุ้งนั้นไม่มี หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้ง ก็เป็นความแปลกประหลาดอย่างหนึ่งที่คุณสุรินทร์พบเห็นจากการที่ไปนั่งเฝ้า นอนเฝ้าเพื่อพิสูจน์ความเป็นพระแท้ของหลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน ที่หลวงปู่ท่านจำวัดโดยไม่ต้องการมุ้งแต่ก็กลับไม่ได้รับการรบกวนจากยุงเลย ตรงกันข้ามกับคุณสุรินทร์ซึ่งนอนอยู่ใกล้ ๆ ไม่ห่างจากที่จำวัดของหลวงปู่เท่าไรนักกลับถูกยุงกัดเสียย่ำแย่ จากการเฝ้าสังเกตการณ์หลวงปู่สุขอยู่ถึงสามวัน คุณสุรินทร์เล่าว่าได้พบเห็นวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุข ดังนี้
- การฉันอาหารหลวงปู่สุขท่านจะฉันเอกาเพียงวันละมื้อ และฉันแบบสำรวมในบาตร
- ไม่ว่าใครจะเอาอะไรมาถวายให้ ท่านจะรับไว้ และกองไว้บนหัวนอน อย่างไม่สนใจไยดี และแทบไม่เคยดูเสียด้วยว่าเป็นอะไรบ้าง มีค่าหรือไม่มีค่า ได้ทราบต่อมาภายหลังว่า บรรดาข้าวของที่มีผู้ถวายเมื่อมีจำนวนมากพอสมควร ก็จะมีเณรภายในวัด ตลอดจนฆราวาสที่อาศัยอยู่ในวัดมานำเอาไปใช้ประโยชน์ทีหนึ่ง โดยที่หลวงปู่สุขก็ไม่เคยหวงห้าม ใครอยากได้ท่านก็บริจาคต่อให้หมดไม่มีการหวงแหนเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว
- เวลามีผู้ขออนุเคราะห์ให้ช่วยทำน้ำมนต์ให้ ท่านก็จะให้ผู้ซึ่งต้องการอย่างได้นิมนต์ ไปตักน้ำใส่ขันมา แล้วท่านก็จะเอาแท่งดินสอหรือแท่งวัตถุอะไรก็ได้ที่ท่านสามารถหยิบฉวยได้ใน ขณะนั้นขึ้นมาเคาะ ๆ ที่ปากขันน้ำมนต์ เพียงครูเดียวก็เสร็จพิธี โดยที่ท่านมิได้มีการหลับตาทำสมาธิหรือเสกเป่ามนตราใดๆ ทั้งสิ้น ตลอดจนการจุดเทียนเพื่อหยดน้ำตาเทียนลงไปในน้ำมนต์ก็ไม่มี ซึ่งก็ได้ทราบในกาลต่อมาเหมือนกันว่าน้ำมนต์ของท่านที่เกิดจากการเพียงเอา แท่งดินสอ หรือแท่งวัตถุเคาะที่ปากขันน้ำเท่านั้น มีผู้คนไปใช้ในเรื่อสะเดาะเคราะห์ ตลอดจนอธิษฐานใช้ในสิ่งที่ไม่เกินไปกว่ามนุษย์จะพึงมีได้ ส่วนใหญ่แล้วประสบผลสมตามมุ่งหมายได้อย่างน่าอัศจรรย์ เรื่องการปลุกเสกของดีหรือมงคลวัตถุก็เช่นกัน เท่าที่ทราบจากการบอกเล่าของหลาย ๆ ท่าน ต่างกล่าวตรงกันว่าหลวงปู่สุขท่านไม่เหมือนใคร คือเวลามีใครเอามงคลวัตถุให้ท่านช่วยปลุกเสกให้ท่านก็จะพียงจับ ๆ แตะ ๆ หรือ หยิบมงคลวัตถุเหมือนดังเช่นพระเกจิอาจารย์ส่วนใหญ่โดยทั่วไป จะมีก็แต่เพียงในระหว่างที่หยิบหรือแตะวัตถุมงคลนั้น หลวงปู่สุขจะภาวนาคาถาซึ่งก็ฟังไม่ถนัดนัก เพราะท่านว่าของท่านแต่เพียงเบา ๆ แบบในใจเสียมากว่า ท่านทำของท่านดังที่ว่านี้อยู่เพียงแต่ท่านหยิบๆ แตะๆ และภาวนาคาถาโดยที่ตาของท่านยังลืมมองของที่อยู่ตรงหน้า ว่าจะมีความศักดิ์สิทธิ์ มีอนุภาพคุ้มครองป้องกันอันตรายได้ แต่ก็ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนไม่น้อย ได้พบประสบความศักดิ์สิทธิ์ในมงคลวัตถุของท่านและหลายคน ในขณะนี้ยังมีชีวิตอยู่สามารถยืนยันเรื่องดังกล่าวได้
วันทั้งวันหลวงปู่ท่านแทบไม่เคยลุกจากที่จำวัดไปไหนเลย ตลอดระยะเวลาสามวันที่ นั่งเฝ้าดูท่านท่านไม่เคยเข้าห้องสุขาและไม่สรงน้ำให้เห็นเลย ย่างเข้าวันที่สามก็เลยเกิดอยากจะพิสูจน์ขึ้นมาว่า หลวงปู่ท่านไม่อาบน้ำท่านจะมีกลิ่นตัวหรือไม จึงถือวิสาสะคว้าแขนท่านมาดมเอาดื้อๆ คุณสุรินทร์ก็ต้องแปลกใจที่หลวงปู่สุขท่านไม่มีกลิ่นตัวเลย และเมื่อได้เห็นผิวเนื้อของท่านอย่างใกล้ชิดก็พบว่า ผิดแปลกจากคนชราโดยทั่วไปตรงที่ว่าผิวของท่านผ่องใสเป็นยองใย
ตลอดเวลาที่นั่งสังเกตการณ์คล้ายดั่งหนึ่ง หลวงปู่จะหยั่งรู้ว่าคุณสุรินทร์จะมาพิสูจน์และลองดีท่าน แต่ก็ไม่เคยแสดงกิริยาโกรธขึ้งหรือขับไล่คุณสุรินทร์แต่อย่างใด ท่านยิ้มแย้มของท่านอยู่ตลอดเวลา ที่คุณสุรินทร์ไปนั่งเฝ้าดูท่าน เท่าที่สังเกตดูท่านเป็นพระที่อารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่เคยดุหรือตำหนิว่าใคร
หลังจากที่เฝ้าสังเกตการณ์ ก็ยอมรับว่าหลวงปู่สุขท่านเป็นพระแท้รูปหนึ่ง และมีดีจริงดังคำเล่าลือ จึงได้มอบตัวเป็นศิษย์ขอเรียนวิปัสสนากรรมฐานด้วย ทำให้ได้ทราบในกาลต่อมาว่า หลวงปู่สุข ท่านเป็นพระที่ ทรงอภิญญารูปหนึ่ง
คุณสุรินทร์ เล่าว่าเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๑๐ วันหนึ่งคุณสุรินทร์ไปหาหลวงปู่สุขที่วัด ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งภายในวัดถามว่า มาหาหลวงปู่สุขท่านบ่อยๆ เคยได้เลขดีไปบ้างมัยล่ะ คุณสุรินทร์ก็ตอบไปว่าไม่เคยได้เพราะไม่เคยขอ และก็ไม่ทราบด้วยหลวงปู่ท่านให้หวยแม่น พระภิกษุรูปนั้นก็บอกว่าหลวงปู่ท่านไม่ค่อยยอมให้หวยใครหรอกนอกจากจะ ถูกรบกวนขอ ท่านจึงจะบอกใบให้ด้วยเมตตา สุดแล้วแต่โชควาสนาของคนที่ขอ ปกติแล้วคุณสุรินทร์เป็นคนไม่นิยมเสี่ยงโชคในด้านนี้ แต่ในวันนั้นด้วยความอยากลองดี ว่าหลวงปู่สุขท่านจะมีดีตามที่ภิกษุรูปดังกล่าวบอกหรือไม่ จึงตั้งใจว่าวันนี้จะลองขอหวยหลวงปู่สุขท่านดูสักครั้ง แต่ขอแล้วจะไม่เอาไปเล่นหรือบอกใคร จะจดไว้ดูเท่านั้นว่าจะออกตามที่หลวงปู่สุขท่านให้หรือไม่ แต่เมื่อเข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่สุข แล้วถอยออกมา ยังไม่ทันที่คุณสุรินทร์จะพูดอะไร เพื่อดำเนินกุศโลบายขอหวยจากท่านตามที่คิด ท่านกวักมือเรียกคุณสุรินทร์ให้เข้าไปหาพร้อมกับนำก้านธูปที่หักเป็นสี่ ท่อนใส่มือคุณสุรินที่แบมือ แล้วก็จับมือคุณสุรินทร์ให้ก้านธูปนั้น พร้อมกับมองหน้าคุณสุรินทร์แล้วยิ้มๆ เท่านั้นแหละคุณสุรินทร์ก็ทราบโดยอัตโนมัติว่าหลวงปู่ท่านใบ้หวยแล้ว ตาที่ตั้งใจว่าจะขอท่านก็ให้นึกชมท่านอยู่ในใจเหมือนกันว่า ทำไมจึงล่วงรู้ใจเสียเหลือเกิน คิดอะไรไว้ในใจท่านรู้ได้หมด
หลังจากกลับมาแล้วคุณสุรินทร์ก็คอยสังเกตการณ์ว่าล็อตเตอรี่ในงวดนั้นจะออก เลขอะไร ปรากฏว่างวดนั้นเลขท้ายสองตัวออก ๔๐ ตรงตามที่หลวงปู่สุขท่านใบ้ให้ทุกประการ ยิ่งไปกว่านั้นในงวดต่อมาเลขท้ายสองตัวก็ยังออก ๔๕ อีกด้วย เรียกว่าหลวงปู่ท่านใบ้หวยให้ทีเดียวสองงวดเลย ท่านเก่งถึงขนาดนั้นเชียวหรือ สามารถรู้ว่าหวยจะออกเลขอะไรได้ล่วงหน้าถึงสองงวด อย่ากระนั้นเลยเห็นทีจะต้องไปลองขอท่านดูอีกสักครั้ง ว่าจะแม่นเหมือนครั้งที่แล้วหรือเปล่า ในตอนนั้นคุณสุรินทร์คิดเช่นนี้ ดังนั้นในอีกประมาณหนึ่งเดือนต่อมา เมื่อมีเวลาว่างพอ คุณสุรินทร์จึงได้ควบจักรยานยนต์คู่ชีพเดินทางไปหาหลวงปู่สุขอีก ไปถึงคราวนี้อัศจรรย์ใจมาก เพราะเพียงแต่กราบท่านเสร็จ เงยหน้าขึ้นมาเท่านั้นท่านก็ยื่นเท้าขวาของท่านมาให้คุณสุรินทร์บอกให้เอา มือจับนิ้วหัวแม่เท้าของท่าน และก็ยื่นเท้าซ้ายบอกให้คุณสุรินทร์เอามืออีกข้างหนึ่ง จับนิ้วเท้าทั้งสี่ของท่านยกเว้น นิ้วหัวแม่เท้า แล้วบอกให้ปล่อยมือ แล้วก็บอกให้จับนิ้วเท้าของท่านอีก คราวนี้บอกให้จับทั้งหมดทั้งห้านิ้วเลย ในขณะที่อีกมือหนึ่งของคุณสุรินทร์ยังคงจับนิ้วหัวแม่เท้าขวาของท่านอยู่ดังเดิมท่านมองหน้าคุณสุรินทร์แล้วก็ยิ้ม ไม่พูดอะไรทั้งสิ้นในขณะเมื่อชักเท้ากลับเท่านั้น คุณสุรินทร์ก็ทราบโดยปริยายว่า หลวงปู่สุขท่านได้ใบ้หวยให้แล้ว ตามความต้องการของคุณสุรินทร์ที่คิดจะมาทดสอบในเรื่องดังกล่าวกับท่านอีก เป็นคำรอบสองตามวิสัยของคนช่างพิสูจน์ ในงวดนั้นปรากฏว่าเลขท้ายสองตัวออก ๑๔ ตรงเผงตามที่ท่านใบให้ และงวดต่อมาเลขท้ายสองตัวก็ออก ๑๕ ตรงเผงตามที่ท่านใบ้ให้อีก
ตั้งแต่นั้นมาคุณสุรินทร์จึงเชื่อและนับถือหลวงปู่อย่างสนิทใจว่าท่านเป็น ผู้มีญาณวิเศษ สามารถหยั่งรู้จิตใจคน และกาลอนาคตได้จริง ในกาลต่อมาเมื่อได้ศึกษาในเรื่องศาสนามากขึ้นจึงได้ทราบว่า ความสามารถหยั่งรู้ดังกล่าวของหลวงปู่สุขนั้น เป็นคุณวิเศษอย่างหนึ่งของพระผู้ทรงอภิญญาในทางศาสนาพุทธของเรานั่นเอง
อ้างอิงข้อมูลจาก - www.web-pra.com