รอดตายแล้ว!! ต้นโพธิ์ที่ "ในหลวงรัชกาลที่ ๙" ทรงปลูก ที่วัดหลวงอรัญ อายุเกือบ ๕๐ ปี หลังถูกน้ำท่วม จนรากเน่า!!

 

          จากกรณีที่ต้นโพธิ์ ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปลูกไว้ด้วยพระองค์เอง ที่จังหวัดสระแก้ว เมื่อครั้งที่พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินมาทอดผ้าพระกฐิน ณ วัดหลวงอรัญ เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ ได้เกิดผลัดใบทั้งต้นและไม่แตกใบอีกเลย

 

 

          ล่าสุดได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ พบว่า ต้นโพธิ์ต้นดังกล่าวนั้นได้จมน้ำ และทำให้รากเน่า จึงรีบแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน

 

 

 

          ประธานชุมชนบ้านวัดหลวงอรัญ ได้เปิดเผยว่า กรณีดังกล่าวนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๑ ซึ่งรองแม่ทัพภาคที่ ๑ ให้ความสนใจและเป็นห่วงอย่างมาก จึงสั่งการให้กองกำลังบูรพาและอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญให้เรื่องของพืชเข้าสำรวจตรวจสอบถึงสาเหตุที่ทำให้ต้นโพธิ์ไม่แตกใบอีก จนพบว่า เกิดจากเหตุน้ำท่วมต้นโพธิ์ จนทำให้รากเกิดเน่า คาดว่าน่าจะเกิดช่วงหน้าฝนในช่วงงงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ "ในหลวงรัชกาลที่ ๙" 

 

           จึงมีการสั่งให้ขุดดินและนำทรายขี้เป็ดออกทั้งหมก พร้อมกับเร่งฟื้นฟูรากโดยใช้เวลากว่า ๓ เดือน ก็มีรากฝอยเกิดขึ้น ลำต้นมีสีนวลเขียวนงลชมพูและมีการแทงใบโพธิ์เกิดขึ้นมาใหม่ ทั้งนี้ได้มีการยืนยันว่า ต้นโพธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงปลูกไว้จะไม่ตายอย่างแน่นอน

 

 

            นอกจากนี้ประธานชุมชนบ้านวัดหลวงอรัญ ได้กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา ๓ ที่ผ่านมา หน่วยงานต่างๆได้เข้ามาดูแลอย่างสม่ำเสมอ เพราะห่วงว่า ต้นโพธิ์จะยืนต้นตาย นอกจากนี้ก็มีชาวบ้านในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมทำกิจกรรมเพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในพีะบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ของพสกนิกรชาวไทย 

 

 

 

        ย้อนไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๑๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ ๙ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงเสด็จมาทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินเป็นการส่วนพระองค์ ณ วัดหลวงอรัญญ์ อ.อรัญประเทศ โดยมีพระครูอรัญประเทศคณาจารย์ (ลี  อินทโชโต) และเหล่าพสกนิกรเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ จากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนิน ไปยังนิคมสร้างตนเองคลองน้ำใส ประทับเสวยพระกระยาหารกลางวันแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับกรุงเทพฯ

 

 

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก : เพจ หนังสือพิมพ์ใต้สันติสุข

                           http://www.sakaeo.go.th