- 20 เม.ย. 2560
มากทั้งพระปรีชาและพระเมตตา!! ร.7 ทรงไม่ปรารถนาสงครามกลางเมือง-การนองเลือด ทั้งที่ทรงสามารถกวาดล้างคณะราษฎรได้ง่ายๆแต่ก็ไม่ประสงค์ต่อสู้
บทความจากเฟซบุ๊ค : Vachara Riddhagni
เรื่องราวที่อยากให้อ่านกันครับ เรื่องเกี่ยวข้องกับหมุดคณะราษฎรอีกครั้ง อย่างที่ผมเน้นหนักแน่นว่า ไร้สาระ จริงๆ เพราะมันเป็นแค่สัญลักษณ์ของวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 เท่านั้นเอง และไม่มีใครหรือประวัติความเป็นมาอธิบายว่า ทำไมคณะราษฎร ถึงต้องฝังหมุด หรือแผ่นทองเหลืองนั้น ณ ที่แห่งนั้น สาระควรสำนึกและรำลึกถึง ควรอ่านเรื่องนี้ครับ (ยาวครับ)
เรื่องราวความโชคดีของคณะราษฎรนั้น โดยเริ่มต้นที่ว่า การปฏิวัติ เป็นเรื่องโรแมนติคธรรมดาและทันสมัยเท่านั้นเอง คณะราษฎรก็เช่นกัน เป็นนักเรียนหนุ่มทุนหลวงรวม 7 คน ประชุมที่ บ้านเช่าเลขที่ 9 ถ.ซอมเมอราร์ด กรุงปารีส ฝรั่งเศส ประกอบด้วย นายปรีดี พนมยงค์ เข้าใจว่าเริ่มประชุมกันในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2469 หลังจากที่ ร.7 ทรงขึ้นครองราชย์ได้ 1 ปี
กลุ่มริเริ่มการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 7 คน ประกอบด้วย
1. นายปรีดี พนมยงค์ เป็นลูกชาวบ้านอยุธยา เรียนกฏหมาย
2. ร.ท.ประยูร ภมรมนตรี เป็นลูกครึ่งโดยเป็นบุตรของ พันตรี พระชำนาญคุรุวิทย์ (แย้ม ภมรมนตรี) ทูตทหารประจำจักรวรรดิเยอรมัน กับมารดาที่เป็นชาวเยอรมัน ซึ่งเป็นครูสอนภาษาเยอรมันให้กับนักเรียนในจักรวรรดิเยอรมันขณะนั้น ชื่อ แพทย์หญิงแอนเนลี ไฟร์ เรียนรัฐศาสตร์
3. ร.ท.แปลก ขีตตะสังคะ (ต่อมาคือ พ.ต.หลวงพิบูลสงคราม) ชาวสวนนนทบุรี เรียนวิชาทหารปืนใหญ่ชั้นสูง
4. ร.ต.ทัศนีย์ มิตรภักดี เป็นบุตรของเสวกเอก นายพันเอก พระยานรินทรราชเสนี (พร้อม มิตรภักดี) เรียนวิชาทหารม้า เป็นหัวหน้าชุดรถรบในวันรัฐประหาร
5. นายจรูญ สิงหเสนี เป็นลูกพระยาประเสริฐสุนทราศรัย เรียนกฏหมายและสมัครไปรบสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นข้าราชการประจำสถานทูตไทยประจำกรุงปารีส
6. นายแนบ พหลโยธิน เป็นบุตรของ พลโท พระยาพหลโยธินรามินทรภักดี (นพ พหลโยธิน) บิดาเป็นพี่ชายของพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) จบการศึกษาจากโรงเรียนราชวิทยาลัย (โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในปัจจุบัน) จบการศึกษาเนติบัณฑิต ประเทศอังกฤษ
7. นายตั้ว ลพานุกรม เป็นลูกชาวบ้านกรุงเทพฯ ได้ตามเสด็จสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนสงขลานครินทร์ ไปศึกษาต่อ ณ เมืองบัลเกนแบร์ก จังหวัดมาร์ค ประเทศเยอรมนี โดยทุนของพระองค์ ซึ่งเป็นช่วงเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 โดยประเทศเยอรมนีสังกัดฝ่ายอักษะ จึงทำให้ไทยกับเยอรมนีต้องประกาศสงครามกันเมื่อปี พ.ศ. 2460 ตั้วถูกจับเป็นเชลยศึกไปคุมขัง ณ ค่ายคุมขังเมือง Celle ทำให้ตั้วมีโอกาสศึกษาภาษาเพิ่มเติม กลับมาฝรั่งเศสสมัครเป็นทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาได้ทุนจาก สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม ศึกษาต่อที่ฝรั่งเศส
กลุ่มคณะราษฎรนี้ มีมติให้นายปรีดี พนมยงค์ เป็นหัวหน้า ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบาย การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ไว้ 6 ประการ
1. จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในบ้านเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจของประเทศไว้ให้มั่นคง
2. จะรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
3. จะต้องบำรุงความสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจไทย รัฐบาลใหม่ จะพยายามหางานให้ราษฎรทำโดยเต็มความสามารถ
4. จะร่างโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก จะต้องให้ราษฎรได้มีสิทธิเสมอภาคกัน ไม่ใช่ให้พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎรเช่นที่เป็นอยู่
5. จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก 4 ประการ ดังกล่าวแล้วข้างต้น
6. จะต้องให้มีการศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร
จะเห็นว่ามตินโยบายการปกครองของกลุ่มริเริ่มนี้ ไม่มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์เลย และยังเน้นถึงความเหลื่อมล้ำของกลุ่ม เจ้า กับ สามัญชน
หลังจากนั้นกลุ่มบุคคลเหล่านี้กลับมาเมืองไทย เข้ารับราชการในกระทรวงต่างๆ ทุกคนเป็นข้าราชหนุ่มหัวก้าวหน้า มีความรู้ดี ทั้งภาษาและวิชาเฉพาะ จึงได้รับความไว้วางใจจากพระราชวงศ์ ที่เป็นเสนาบดีบังคับบัญชา ในกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะนายปรีดีฯ ที่เป็นคณะทำงานร่างรัฐธรรมนูญ ของ ร.7 แห่งกระทรวงยุติธรรมจึงรู้เรื่องร่าง รธน.และจังหวะเวลาแผนงานของ ร.7 ในการพระราชทาน รธน.เป็นอย่างดี
(ปรีดี พนมยงค์)
กลุ่มคณะราษฎร รู้ว่าต้องเริ่มต้นปลุกเร้าในกลุ่มคนหนุ่มก่อน และเริ่มปลุกระดมในกลุ่มทหารหนุ่ม ที่ยังมีเรื่องการกบฏ ร.ศ.130 เล่าหมุนเวียนอยู่ในกองทัพ เพราะเหตุการณ์เพิ่งผ่านไปเพียง 20 ปี (2455-2475)
ด้วยการใช้จุดอ่อนของราชวงศ์ คือ 1. การชิงดีกันในหมู่เจ้า จึงมีการสร้างแนวร่วมและฐานอำนาจของเจ้าแต่ละองค์ 2. เจ้าบางองค์ก็ประพฤติพระองค์ตามอำเภอใจ ทำให้ง่ายต่อการปลูกฝังความคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองในหมู่ข้าราชการ 3. ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาจากต่างประเทศ และได้รับอิทธิพลถ่ายทอดลงมาตั้งแต่ครั้ง ร.6 แล้ว จึงเข้าร่วมด้วยง่าย ส่วนสามัญชน รับรู้จากหนังสือพิมพ์ทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งจากชาวต่างประเทศ ที่เข้ามาทำการค้าขายกับคนไทย
ร.7 และพระราชวงศ์ก็ทราบดีว่า มีคลื่นใต้น้ำมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของ ร.7 ที่ทรงศึกษาและวิเคราะห์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคมโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเฉพาะเหตุการณ์รุนแรงจากการปฏิวัติบอลเชวิค ในรัสเซีย จนเป็นสงครามกลางเมือง และเหตุเศรษฐกิจตกต่ำของโลกในห้วง ค.ศ.1930 (Great Depression) มีเหตุการณ์รุนแรงฆ่ากันตาย ประเทศชาติ และสังคมแตกแยกระหว่างเสรีประชาธิปไตยกับผู้นิยมคอมมิวนิสต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐฯ และต่อมามีกฎหมายควบคุมลัทธิคอมมิวนิสต์ในสหรัฐฯ (Communist Control Act 1954)
จึงทรงไม่ต่อต้านด้วยกำลัง แต่ทรงใช้การเมือง โดยขยายแนวทางประชาธิปไตย ผ่านคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญในหมู่ข้าราชการและหนังสือพิมพ์ในหมู่สามัญชน เพื่อแย่งชิงแนวร่วมประชาชน และต้องการให้ประชาชนมีความพร้อมในการรองรับระบอบประชาธิปไตย อย่างแท้จริง
คณะราษฎร รวบรวมสมาชิก ที่เกิดจากโมเม็นตัมของแนวคิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 5 แล้ว มีจำนวนดังนี้ ทหารบก 30 คน ทหารเรือ 29 คน ข้าราชการพลเรือนและสามัญชน 55 คน
ร.7 ทรงทราบดีว่ามีการเคลื่อนไหว ถ้าพระองค์ทรงไม่มีหัวใจประชาธิปไตย พระองค์ก็สามารถกวาดล้างได้หมดแน่นอน แต่ด้วยพระปรีชาสามารถและความกล้าหาญของพระองค์ที่จะเผชิญหน้ากับการรัฐประหาร
ในการนี้ หลวงประดิษฐ์มนูธรรม หรือนายปรีดีฯ ล่วงรู้ถึงแผนการพระราชทานรัฐธรรมนูญ และฉวยโอกาสที่ ร.7 ทรงแปรพระราชฐานไปพระราชวังไกลกังวล ให้นายทหารชั้นผู้ใหญ่เป็นหัวหน้านำทหารในพระนครบ้างหน่วยและนักเรนียนนายร้อย (เพื่อให้เห็นว่ามีจำนวนมาก) ออกทำการรัฐประหาร ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475
ร.7 ทรงไม่ปรารถนาให้เกิดสงครามกลางเมือง และการนองเลือด ร่วมทั้งไม่ทรงเสี่ยงเอาชีวิตพระราชวงศ์ที่ถูกจับเป็นตัวประกันเป็นเครื่องสังเวยพระราชอำนาจ จึงทรงยอมตามที่คณะราษฎรเรียกร้อง แต่พระองค์ทรงไว้ซึ่งความกล้าหาญ ต่อต้านกับข้อเรียกร้องที่ไม่เป็นธรรมกับพระราชวงศ์และรัฐธรรมนูญที่เป็นคอมมิวนิสต์
รัฐธรรมนูญปกเหลืองนั้นถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประเทศไทยมีการปกครองตามแบบลัทธิคอมมิวนิสต์ จึงทรงให้มีการแก้ไขเสียใหม่
จนในวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2476 ทหารหัวเมืองร่วมตัวกันก่อการต่อต้าน รบกับทหารรัฐบาลคณะราษฎรอยู่ 5 วัน และต่อมาแพ้จึงกลายเป็นกบฏ นำโดยพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรเดช อดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นหัวหน้าฝ่ายทหาร นำกำลังทหารจากหัวเมืองภาคอีสาน หวังล้มล้างการปกครองของรัฐบาลคณะราษฎร เนื่องจากไม่พอใจที่นายถวัติ ฤทธิเดช ได้ฟ้องร้องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เนื่องจากกรณีที่ที่พระองค์มีพระบรมราชวินิจฉัยคัดค้านแผนพัฒนาเศรษฐกิจของหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (ปรีดี พนมยงค์) ที่เรียกกันว่า "สมุดปกเหลือง"
การสู้รบซับซ้อน ซึ่งในช่วงต้นนั้น ทหารหัวเมืองได้เปรียบบุกเข้าถึงชานเมืองพระนครแล้ว และยึดสนามบินดอนเมืองของกรมอากาศยานได้แล้ว แต่เนื่องจาก ร.7 ไม่สนับสนุน ทำให้ฝ่ายกบฏ ขาดพลังจิตวิญญาณในการสู้รบ
เพราะ ร.7 ไม่ปรารถนาให้เกิดสงครามเช่นนั้นเลย พระองค์ไม่ต้องการอำนาจที่มาจากการแย่งชิง นี่ก็เป็นโชคดีของคณะราษฎร
อยากให้อ่านกันครับ
บทความโดย :Vachara Riddhagni