"สนธิญาณ"เล่าเรื่อง เพลง"ชะตาชีวิต" สะท้อนชีวิต"ในหลวงร.9" แรงบันดาลใจ..สู่พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลก!!

ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับวันงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 26 ต.ค. นับเป็นวันประวัติศาสตร์ที่พสกนิกรชาวไทยจากทั่วทุกสารทิศ ต่างมุ่งเดินทางมายังท้องสนามหลวงเพื่อเป็นการถวายอาลัยเป็นครั้งสุดท้าย

 

ด้านทางคุณสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานบริหาร และบรรณาธิการอำนวยการ สำนักข่าวทีนิวส์ ก็ได้ออกมาเล่าเรื่องราวพระราชประวัติโดยระบุว่า ..หลังจากที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปรกครอง จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยอย่างมากมายมหาศาล และส่วนที่รับผลกระทบมากที่สุดก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ อยากจะเชิญชวนฟังเพลงสักเพลง คือเพลง “ชะตาชีวิต” 

นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย ...คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง

ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง. หลงไหลหมายปองคนปรานี

...ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน. ขาดญาติบิดรและน้องพี่

บาปกรรมคงมี จำทนระทม

 

...ท้องฟ้าสายัณห์ตะวันเลือน ...แสงลับนับวันจะเตือนให้ใจต้องขื่นขม

หากเย็นลงฟ้าคงยิ่งมืดยิ่งตรอมตรม. ชีวิตระทมเพราะรอมา

...จวบจันทร์แจ่มฟ้านภาผ่อง. เฝ้ามองให้เดือนชุบวิญญา

สักวันบุญมา ชะตาคงดี

เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช” พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ได้พระราชนิพนธ์ทำนอง เสียงประสาน มีผู้ที่เรียบเรียงเนื้อร้องภาษาไทย คือ ท่านศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร หลังจากใส่คำร้องแล้วได้กราบบังคมทูล ให้พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พิจารณา ที่หยิบยกนำเพลงนี้มาเปิดให้ฟัง เพราะในวันที่ 26 ตุลาคม คงเป็นวันที่แผ่นดินจะสั่นสะเทือนด้วยความร่ำไห้ เสียใจของคนไทยทั้งประเทศ เนื้อเพลง เพลงนี้ ฟังแล้วพิจารณานี่คือเพลงที่มีเนื้อหาว่าเป็นชีวิตของพระองค์ท่าน  “นกน้อยคล้อยบินมาเดียวดาย ...คิดคิดมิวายกังวลให้หม่นฤทัยหมอง

ขาดมวลมิตรไร้คนสนิทคู่เคียงครอง. หลงไหลหมายปองคนปรานี...ขาดเรือนแหล่งพักพำนักนอน. ขาดญาติบิดรและน้องพี่ บาปกรรมคงมี จำทนระทม” นี่เป็นชะตาชีวิตของพระองค์ท่าน 

ที่เอาเพลงนี้มานำเสนอ ก็เพื่อที่จะบอกว่าในวันที่พระองค์ท่านได้ขึ้นครองราชย์ พระองค์ท่านไม่ได้อยากเป็นพระมหากษัตริย์ แต่อย่างใด เพราะว่าพระองค์ท่าน ได้สูญเสีย พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่8 ที่เป็นพระเชษฐา ตนไม่ได้พูดเอง พระองค์ได้มีพระราชบันทึกส่วนพระองค์ไว้ว่า ไม่ได้มีความรู้สึกที่อยากเป็นพระมหากษัตริย์  .."อดคิดถึงพี่ไม่ได้เลยแม้แต่ขณะเดียว ฉันเคยคิดว่า ฉันจะไม่ห่างจากพี่ตลอดชีวิต แต่มันเป็นเพราะกรรม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นกษัตริย์ คิดแต่จะเป็นน้องของพี่เท่านั้น

 

 

นี่คือพระราชบันทึกส่วนพระองค์ ที่ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระองค์ได้ขึ้นครองราชย์ เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489  ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ถูกลอบปลงพระชนม์เมืองไทย มิสามารถว่างเว้นพระมหากษัตริย์ได้ จึงได้มีการสถาปนาพระน้องยาเธอขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 9 ลงลึกไปกว่านั้น พระองค์ท่าน หลังจากที่มีพระประสูติออกมาพระราชบิดาได้ทรงสิ้นพระชนม์ ตั้งแต่ขวบเศษๆ ที่สมเด็จย่า หรือ สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ต้องทรงเลี้ยงดู สามคนพี่น้อง คือ สมเด็จพระพี่นาง สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวราชการที่8 และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชการที่9 และเป็นการเลี้ยงดูที่ต่างประเทศ เพราะต้องหลบภัยการเมืองที่เกิดขึ้น หลังจากการเปลี่ยนแปลง2475 ไปอยู่สวิสแลนด์2476 นี่เป็นชะตาชีวิตของพระองค์ท่าน จุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่ ในชีวิตพระองค์ท่าน ก็คือในวันที่ 19 สิงหาคม 2489 ขณะที่จะเสด็จไปศึกษาต่อที่สวิสแลนด์ แล้วรถพระที่นั่งได้วิ่งผ่านวัดเบญจมบพิตร ขณะที่ผู้คนเนืองเน้น รอส่งเสด็จ ได้มีชายผู้หนึ่ง ตะโกนขึ้น ว่า“ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน”  ด้วยถ้อยคำการตะโกนดังกล่าว พระองค์ท่านได้ทรงบันทึกไว้ในพระราชบันทึกส่วนพระองค์ว่า “ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว. ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร” 

 

แรงบันดาลใจดังกล่าว จึงทำให้เรามีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ที่ครองราชย์ยาวนานกว่า 70 ปี สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศชาติและประชาชนคนไทยอย่างมากมายมหาศาล ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่ตระหนักและรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ แต่คนทั้งโลกก็แซ่ซ้องสรรเสริญ ยินดี ผู้นำ ประมุข พระประมุข และตัวแทนถึง42ประเทศ ที่จะมาร่วมพระราชพิธี ในวันที่26 ตุลาคมนี้  ก็ถือว่าเป็นเกร็ด เล็กน้อย แต่เป็นมุมมองหนึ่ง ที่อยากมาเล่ารับฟังกัน เนื้อหาของเพลงนี้ถ้ามาเปรียบเทียบกับชีวิตของพระองค์ท่านแล้ว ช่างเหมือนกันเหลือเกิน บุคคลผู้หนึ่งได้สร้างความยิ่งใหญ่ขึ้น ทุ่มเทตัวเองเพื่อประเทศชาติและประชาชน ทั้งๆที่ การขึ้นสู่สถานะพระมหากษัตริย์นั้นเป็นไปด้วยความเจ็บปวดยิ่งจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนไทยทั้งประเทศจะโศกาอาดูร และรำ่ลึกถึงพระองค์ท่านในวันอันแสนที่จะทำให้หัวใจเราห่อเหี่ยว