เผยที่มาของธรรมเนียมพระราชพิธีถวายพระเพลิง

ที่มา ธรรมเนียมพระราชพิธีถวายพระเพลิง พระบรมศพ พระมหากษัติริย์ไทยและเชื้อพระวงศ์

ธรรมเนียมพระราชพิธีถวายพระเพลิงนั้น เป็นขั้นตอนสำคัญในพระราชพิธีพระบรมศพ สถานที่ในการประกอบพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ และพระราชทานเพลิงพระศพในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น เรียกว่า ทุ่งพระเมรุ ซึ่งทุ่งพระเมรุของกรุงรัตนโกสินทร์ก็คือท้องสนามหลวง ที่ใช้ประกอบการพระราชพิธีพระบรมศพและพระศพ เริ่มมาตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมอัฐิสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ในปี พ.ศ. 2338 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

โดยเมื่อเสร็จขั้นตอนพระราชพิธีขบวนพระบรมอิสริยยศ อัญเชิญพระโกฐขึ้นบนพระจิตกาธาน ช่วงเวลาที่พระราชทานเพลิงของทั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาและสมัยกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงรัชกาลที่ 5 จะถวายพระเพลิงหรือพระราชทานเพลิงเสร็จภายในครั้งเดียว โดยมากจะเริ่มหลังบ่ายโมงจนถึงราวบ่าย 4 โมง ไม่ได้มีพิธีเผาศพ 2 ครั้งอย่างที่ชาวบ้านเรียกว่า “เผาจริง” และ “เผาหลอก” วิธีการเช่นนี้เริ่มราวปลายรัชกาลที่ 5 เรียกขณะนั้นว่า “เปิดเพลิง” นนทพร อยู่มั่งมี เคยยกพระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) ที่ทรงบันทึกเกี่ยวกับที่มาและความแพร่หลายของพิธีนี้มาเขียนไว้ในหนังสือ “ธรรมเนียมพระบรมศพและพระศพเจ้านาย” ตอนหนึ่งว่าตามที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบันทึกเกี่ยวกับที่มาและความแพร่หลายของพิธีนี้ว่า…

“แท้จริงเปนความคิดของพวกเจ้าพนักงานเผาศพหลวงในตอนปลายๆ รัชกาลที่ 5 เพื่อมิให้ผู้ที่ไปช่วยงานเผาศพเดือดร้อนรำคาญเพราะกลิ่นแห่งการเผาศพ ในเวลาที่ทำพิธีพระราชทานเพลิงจึ่งปิดก้นโกษฐ์หรือหีบไว้เสีย และคอยระวังถอนธูปเทียนออกเสียจากภายใต้เพื่อมิให้ไฟไหม้ขึ้นไปถึง ต่อตอนดึกเมื่อผู้คนที่ไปช่วยงานกลับกันหมดแล้วจึ่งเปิดไฟและทำการเผาศพจริงๆ ในเวลาที่เผาจริงๆ เช่นว่านี้ มักมีพวกเจ้าภาพอยู่ที่เมรุบ้าง จึ่งเกิดนึกเอาผ้าทอดให้พระสดัปกรณบ้างตามศรัทธา ดังนี้จึ่งเกิดเปนธรรมเนียมขึ้นว่า ผู้ที่มิใช่ญาติสนิธให้เผาในเวลาพระราชทานเพลิง ญาติสนิธ/เผาอีกครั้ง 1 เมื่อเปิดเพลิง กรมนเรศร์ 1 เปนผู้ที่ทำให้ธรรมเนียมนี้เฟื่องฟูขึ้น และเปนผู้ตั้งศัพท์ ‘เผาพิธี’ และ ‘เผาจริง’ ขึ้น เลย
เกิดถือกันว่าผู้ที่เปนญาติและมิตร์จริงของผู้ตายถ้าไม่ได้เผาจริงเปนการ
เสียไป และการเผาศพจึ่งกลายเปนเผา 2 ครั้ง”


ซึ่งตามกำหนดการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีการถวายพระเพลิง 2 รอบ คือเวลา 17.30 น. และ 22.00 น. ของวันที่
26 ตุลาคม ซึ่งในช่วงเย็นนั้นเรียกว่าเผาหลอก ส่วนในช่วง 4 ทุ่มเป็นการเผาจริง ซึ่งแต่เดิมการถวายพระเพลิงพระบรมศพ และการพระราชทานเพลิงพระศพเจ้านาย มีการเผาครั้งเดียวในช่วงบ่ายเช่นเดียวกับคนทั่วไป ส่วนธรรมเนียมการเผาหลอก-เผาจริง เกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงปลายรัชกาลที่ 5 ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่า เปิดเพลิง

ในจดหมายเหตุงานพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
งานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ. 2453 เป็นงานระดับพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับการถวายพระเพลิงตามธรรมเนียมนี้ เริ่มจากการอัญเชิญพระบรมศพจากที่ประดิษฐานในพระบรมมหาราชวังออกมาถวายพระเพลิงยังพระเมรุมาศท้องสนามหลวง กระทำภายในวันเดียว ส่วนการเปิดเพลิงนั้นจะกระทำตอนกลางคืน นอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงธรรมเนียมในบางประการเพิ่มเติมอย่างการงดใช้หยวก มะละกอ และฟักทองแกะสลักประดับแท่นจิตกาธาน โดยใช้ดอกไม้สดแทน และระหว่างการถวายพระเพลิงเหล่าทหารได้บรรเลงแตรวง พร้อมกับยิงปืนใหญ่ ปืนเล็ก เสียงกึกก้อง เป็นการถวายพระเกียรติยศ๓ การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ได้เป็นแบบแผนต่อการจัดงานพระบรมศพและพระศพต่อเนื่องกันมา

สำหรับงานถวายพระเพลิงพระบรมศพในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ยังคงธรรมเนียมเช่นเดียวกับงานถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เห็นได้จากงานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ซึ่งเริ่มในตอนเย็นของวันที่ 10 มีนาคม 2539 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถทรงประกอบพิธีทางฝ่ายสงฆ์ในพระที่นั่งทรงธรรมแล้ว จึงเสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนพระเมรุมาศ เจ้าพนักงานถวายกระทงข้าวตอกดอกไม้เครื่องราชสักการะ ทั้ง 2 พระองค์ทรงวางกระทงที่ข้างพระจิตกาธาน ขณะนั้นแตรเดี่ยวทหารกองเกียรติยศสำหรับพระบรมศพเป่าแตรนอนทรงจุดไฟเทียนชนวน แล้วทรงวางไว้ใต้ท่อนไม้จันทน์บนพระจิตกาธานที่ประดิษฐานพระโกศพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงคุกพระชานุหน้าพระโกศพระบรมศพ ทรงกราบถวายบังคมพระบรมศพแล้วประทับประทับคุกพระชานุอยู่ ณ ที่นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบราบและประทับ ณ ที่นั้น ขณะนั้นชาวพนักงานประโคมปี่พาทย์เครื่องใหญ่และวงบัวลอยขึ้นพร้อมกัน กองทหารเกียรติยศสำหรับพระบรมศพถวายความเคารพ แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ผู้บังคับกองทหารเกียรติยศสั่งแถวเตรียมปืนเล็กยาวยิงถวายพระเกียรติ 9 ชุด พร้อมกับทหารปืนใหญ่กองเกียรติยศยิงถวายพระเกียรติ 21 นัด วงดุริยางค์ทหารกองเกียรติยศพระบรมศพบรรเลงเพลงพญาโศก จากนั้นจึงเป็นพระบรมวงศ์ชั้นสูง ตามมาด้วยข้าราชการกับแขกผู้มีเกียรติขึ้นถวายพระเพลิงโดยลำดับ
ส่วนการถวายพระเพลิงจริงเริ่มเวลา 22.43 น. หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เสด็จมายังพระเมรุมาศ และเสร็จสิ้นพิธีการทางศาสนาในพระที่นั่งทรงธรรมแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จฯ มายังพระเมรุมาศ ขึ้นม้าเทียบพระจิตกาธานหลังพระจิตกาธาน ทรงรับมะพร้าวแก้วที่เจ้าพนักงานทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงเทน้ำมะพร้าวแก้วนั้นลงบนฐานพระโกศพระบรมศพทรงคม ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ กลองชนะ และปี่พาทย์เครื่องใหญ่ขึ้นพร้อมกัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงรับธูปเทียน ดอกไม้จันทน์ ที่เจ้าพนักงานพระราชพิธีทูลเกล้าฯ ถวาย ทรงจุดไฟจากชนวนซึ่งตำรวจวังชูถวาย แล้วถวายพระเพลิงพระบรมศพ โดยทรงวางลงในช่องท่อนไม้จันทน์ที่พระจิตกาธาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกราบถวายบังคม แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงกราบราบพร้อมกัน แล้วทรงถอยออกมาประทับยืน ณ ที่นั้น ชาวพนักงานประโคมสังข์ แตรฝรั่ง แตรงอน ปี่ กลองชนะ ขึ้นพร้อมกันเป็นสัญญาณให้ขึ้นถวายพระเพลิงพระบรมศพ จากนั้นพระบรมวงศานุวงศ์ขึ้นถวายพระเพลิง4

#ทั้งนี้ งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) เป็นงานระดับพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ได้รับการถวายพระเพลิงตามธรรมเนียมนี้:

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- "การถวายรูด" คืออะไร?? เหตุใดจึงถูกยกเลิกไปจากการจัดงานพระราชพิธีพระบรมศพในยุคปัจจุบัน!!(รายละเอียด)
- ทรงกราบลาด้วยอาลัย!! สมเด็จพระเทพฯ เสด็จฯวางพวงมาลัยกราบสักการะพระเมรุมาศครั้งสุดท้าย...จากนี้เหลือเพียงความทรงจำ #ธสถิตในใจไทยนิรันดร์

 

พระเมรุมาศ

 

พระราชพิธีถวายพระเพลิง

 

พระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง

 

ภายในพระเมรุมาศ

 

อัญเชิญพระโกศ

 

รอบๆ บริเวณ พระเมรุมาศ

 

 

 

 

 

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณที่มา : ภาพและข้อมูลจากที่มา หนังสือ ธรรมเนียมพระศพ และพระศพเจ้านาย และข้อมูล(บางส่วนจาก) อินเตอร์เน็ต ค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์