มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

พระมหากษัตริย์ไทยนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ล้วนทรงเป็นพุทธมามกะผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์โดยธรรม ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทรงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึงการเสด็จออกผนวช โดยหากจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์แด่พระพุทธศาสนา โดยการสละราชสมบัติเสด็จออกผนวชเป็นการชั่วคราว ที่มีบันทึกในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีเพียง ๒ พระองค์

พระมหากษัตริย์ไทยนับแต่อดีตจนปัจจุบัน ล้วนทรงเป็นพุทธมามกะผู้ทรงทศพิธราชธรรม ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร์โดยธรรม ทรงเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทรงยึดมั่นในพระพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึงการเสด็จออกผนวช โดยหากจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ที่ทรงอุทิศพระองค์แด่พระพุทธศาสนา โดยการสละราชสมบัติเสด็จออกผนวชเป็นการชั่วคราว ที่มีบันทึกในหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ มีเพียง ๒ พระองค์

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

สองพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงผนวชระหว่างครองราชย์  คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ และ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ เป็นพระมหากษัตริย์เพียง ๒ พระองค์ แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ที่เสด็จออกผนวชขณะทรงดำรงสิริราชสมบัติ

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาแตกฉานในพระพุทธศาสนาอีกพระองค์หนึ่ง ทรงเอาพระทัยใส่ในกิจการของพระพุทธศาสนาในทุกด้าน ทรงอุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองทั้งด้านพุทธสถาน การศึกษา และการสั่งสอน เมื่อพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษา ได้เสด็จออกผนวชเป็นเวลา ๑๕ วัน เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๑๖ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ ทรงลาผนวช เมื่อ ๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๑๖  นับเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่เสด็จออกผนวชในระหว่างครองราชสมบัติ 

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

จุดประสงค์ของการเสด็จออกผนวช

จุดประสงค์ในการเสด็จออกผนวชเป็นไปตามประเพณีที่ทรงอยู่ในฐานะผู้นำการปฏิบัติรักษาพุทธศาสนา แต่โดยพระมหาธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัยนั้น ทรงอธิษฐานปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อนำสัตว์ทั้งปวงข้ามไตรภพ โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ยิ่งต้องถือว่ามีเกร็ดเป็นพิสดาร 

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

ในปี พ.ศ.๒๔๐๙ เสด็จออกบรรพชาเป็นสามเณร ขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้จัดการตามแบบเจ้าฟ้าทรงผนวช รวมเวลาทรงผนวชสามเณร ๖ เดือน ในหนังสือตำนานวัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงพระนิพนธ์ กล่าวไว้ในตอนหนึ่งว่า “เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๙ ในปีขาล จุลศักราช ๑๒๒๘ ทรงผนวชสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นการใหญ่ตามพระเกียรติ มีสมโภชวันหนึ่ง รุ่งขึ้นแห่ไปทรงผนวชที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ประทับแรมเพื่อการฉลองคืนหนึ่งและเสด็จมาอยู่วัดนี้ (วัดบวรนิเวศวิหาร) ประทับที่พระปั้นหยา”

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๑๑ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมชนกนาถเสด็จสวรรคต บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดีต่างพร้อมใจกันกราบบังคมทูลอัญเชิญพระองค์เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ โดยมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๑ แต่เนื่องจากเวลานั้นพระองค์ทรงมีพระชนมพรรษาเพียง ๑๖ พรรษา ยังไม่บรรลุนิติภาวะ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) จึงรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๑๖ ทรงมีพระชนมพรรษาครบ ๒๐ พรรษาบริบูรณ์ จึงทรงพระผนวชเป็นภิกษุ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ.๒๔๑๖ ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ไว้ว่า 

“จะทรงว่าราชการได้เองเหมือนอย่างพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลก่อนๆ ต่อไป เมื่อเดือน ๑๑ จึงเสด็จออกจากราชสมบัติ ไปทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วเสด็จไปประทับอยู่วัดพุทธรัตนสถาน (ในพระบรมมหาราชวัง) ๑๕ วัน เป็นพิธีแสดงให้ปรากฏว่าพระชันษาพ้นเยาว์วัยแล้ว...” 

ครั้นถึงเดือน ๑๒ ปีระกา ทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ ถวายพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” การที่ทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษกใหม่อีกครั้งนั้น เพราะเหตุว่าพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติเสียเมื่อเสด็จออกผนวช จึงต้องถวายใหม่ แต่อีกนัยหนึ่งเป็นการแสดงว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงว่าราชการเมืองเองต่อไป สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มิได้เป็นผู้ว่าราชการแผ่นดินอีกต่อไป แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๑๖ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์แล้ว สามารถว่าราชการและบริหารงานต่างๆ ได้โดยไม่ต้องมีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ แห่งพระมหาจักรีบรมราชวงศ์ ทรงเป็นพุทธศาสนิกชนที่มีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นที่ยิ่ง เมื่อ พ.ศ. 2499 มีพระราชประสงค์ที่จะทรงผนวชในพระบวรพุทธศาสนาตามโบราณราชประเพณี จอมพลแปลก พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอรับพระราชภาระสนองพระเดชพระคุณในการทรงผนวชในนามของรัฐบาลและประชาชนชาวไทย และได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้แต่งตั้งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ทรงผนวช เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม  แล้วเสด็จฯมาทรงปฏิบัติสมณวัตร ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงลาผนวช เมื่อ ๕ พฤษจิกายน ๒๔๙๙ ขณะทรงผนวชทรงได้รับพระสมณฉายาว่า “ภูมิพโล”

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

ประวัติศาสตร์ชาติไทยเรา องค์กษัตราอยู่คู่พระศาสนามาโดยลำดับ ทั้งในฐานะที่ทรงเป็นพุทธมามกะและองค์อัครศาสนูปถัมภก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พระมหากษัตริย์ทรงสละราชสมบัติเสด็จออกผนวชนั้น นับเป็นบุญกริยายิ่งใหญ่ และยากที่พระมหากษัตริย์ทั่วไปจะทรงกระทำได้

 

มหาราชแห่งราชวงศ์จักรี ผู้ทรงผนวชระหว่างครองราชย์

 

 

ที่มาจาก : https://th.wikipedia.org/wiki/พระราชพิธีทรงผนวชในรัชกาลที่_9

www.palungdham.com/t920.html