มาถึงจุดนี้จนได้!! "คนโสดพุ่ง-แต่งงานช้า-เด็กเกิดน้อย-ด้อยคุณภาพ" สธ.เร่งคลอดยุทธศาสตร์แก้ปัญหา

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

ประเทศไทยกำลังเจอปัญหาคนแต่งงานช้าและน้อย ทำให้เด็กเกิดใหม่น้อยและไม่มีคุณภาพ ไม่เพียงพอทดแทนรุ่นพ่อ-แม่ รวมทั้งการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แถมไม่มีคุณภาพ จากภาวะโภชนาการและไม่ออกกำลังกาย เร่งคลอดยุทธศาสตร์รองรับเสนอครม.กันยายนนี้

 

มาถึงจุดนี้จนได้!! "คนโสดพุ่ง-แต่งงานช้า-เด็กเกิดน้อย-ด้อยคุณภาพ" สธ.เร่งคลอดยุทธศาสตร์แก้ปัญหา

ภาพประกอบข่าว
         

วันนี้ ( 14 ก.ค.)  นพ.วชิระ เพ็งจันทร์  อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)  เปิดเผยว่า ขณะนี้ประเทศไทยเผชิญปัญหาจำนวนประชากรไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพ หรือที่เรียกว่า "เด็กเกิดน้อย ด้อยคุณภาพ"  ซึ่งในส่วนของประชากรไม่เพียงพอวิเคราะห์ได้จากจำนวนเด็กเกิดใหม่นั้นไม่เพียงพอกับการทดแทนที่เสียไป  ซึ่งอัตราการเจริญพันธุ์รวมต่อการทดแทนเฉลี่ยต้องอยู่ที่ 2.1 คือ แทนพ่อ 1 แทนแม่ 1 และอีก จุด 1 คือ ทดแทนการสูญเสียจากความพิการและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 1.6 เท่านั้น  ซึ่งถือว่าต่ำกว่ากลุ่มประเทศ CLMV คือ กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม  ซึ่งอัตราอยู่ที่เกิน 2 ทั้งสิ้น  นอกจากนี้ อัตราการเกิดใหม่ต่อปียังลดลงเรื่อยๆ  โดยปี 2558 อยู่ที่ 7 แสนคน ขณะที่ปี 2559 นี้คาดว่าจะต่ำกว่า 7 แสนคน สาเหตุมาจากวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป  คนเป็นโสดมากขึ้น แต่งงานกันน้อยลง แต่งงานช้าลง  รวมไปถึงสวัสดิการที่ไม่เอื้อต่อการมีบุตร เป็นต้น

 

นพ.วชิระ  กล่าวว่า ในเรื่องของคุณภาพเด็กเกิดใหม่นั้น แม้ว่าประเทศไทยจะทำได้ดีในเรื่องของการลดอัตราการเสียชีวิตของทารกหลังคลอด คือต่ำกว่า 10 ต่อแสนการเกิดมีชีพ หรือตายไม่ถึง 1%  แต่ในเรื่องคุณภาพนั้นยังไม่ดีเท่าที่ควร  เนื่องจากน้ำหนักทารกแรกเกิดน้อยกว่าเกณฑ์ 2,500 กรัมร้อยละ 10.4 การกินนมแม่อย่างเดียวนาน 6 เดือน  มีเพียงร้อยละ 23.9 พัฒนาการล่าช้า ปี 2555  พบถึงร้อยละ 30 และปัญหาการเจริญเติบโตที่พบปัญหา ผอม เตี้ย และอ้วน  จากภาวะโภชนาการและการขาดการออกกำลังกาย  สิ่งที่น่าห่วงคือเมื่อเด็กเหล่านี้เติบโตเข้าสู่วัยแรงงานก็ย่อมมีจำนวนน้อยลงและเป็นแรงงานที่ไม่มีคุณภาพ  ที่สำคัญยังต้องแบกรับดูแลผู้สูงอายุจำนวนมาก  และต้องดูแลเด็กรุ่นใหม่อีก เรียกได้ว่าปริมาณและคุณภาพไม่เพียงพอเลย  ก็จะยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยได้       

นพ.วชิระ กล่าวต่อว่า  ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้ร่างนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาอนามัยการเจริญพันธุ์แห่งชาติ ฉบับที่ 2 (พ.ศ.2560-2569)  ว่าด้วยการส่งเสริมการเกิดและการเจริญเติบโตอย่างมีคุณภาพ  โดยตั้งเป้าว่า อัตราเจริญพันธุ์รวมต้องไม่ต่ำกว่า 1.6 มีการวางแผนการตั้งครรภ์  ลดอัตราการตายมารดาและทารกแรกเกิด เด็กอายุ 0-5 ปีมีพัฒนาการสมวัยสูงดีสมส่วน เป็นต้น โดยมาตรการสำคัญคือ พัฒนาระบบบริการสาธารณสุขที่มีประสิทธิภาพตั้งแต่ระยะก่อนสมรส ก่อนมีบุตร ตั้งครรภ์ คลอด และหลังคลอด เช่น หญิงวัยเจริญพันธุ์ต้องแก้มแดงไม่ซีด  คือมีการให้เหล็กและโฟลิกนักเรียนหญิงตั้งแต่มีประจำเดือน โดยให้ครูเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้

 

มาถึงจุดนี้จนได้!! "คนโสดพุ่ง-แต่งงานช้า-เด็กเกิดน้อย-ด้อยคุณภาพ" สธ.เร่งคลอดยุทธศาสตร์แก้ปัญหา

ภาพประกอบข่าว

 

" การให้เหล็กและโฟลิกแก่นักเรียนหญิงที่เริ่มมีประจำเดือน   เริ่มทำมาแล้วประมาณ 2 ปี แต่คนไม่ค่อยทราบ และนักเรียนไม่ค่อยกิน เพราะคิดว่ามันเป็นยา อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีการใส่โฟลิกลงในขนมปัง  ทำให้ทุกคนได้กินทั้งหมด  อัตราความผิดปกติของทารกแต่แรกเกิดจึงน้อยมาก  ขณะนี้กำลังดูอยู่ว่าจะใส่โฟลิกลงในอาหารประเภทใด  เพราะหากใส่ลงในข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของคนไทยก็พบว่าทำให้มีรสชาติที่แปลกไป"  อธิบดีกรมอนามัย กล่าว


นอกจากนี้  รัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องการจัดสวัสดิการสังคมเพื่อเอื้อให้คู่สมรสตัดสินใจมีบุตรและเลี้ยงดูบุตร เช่น สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย มาตรการทางภาษี  เงินช่วยเหลือ  มีสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน  ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรงนี้ก็ต้องไปปรับปรุงกฎหมายรองรับ รวมไปถึงการผลักดันสิทธิลาคลอดให้เหมาะสมทั้งแม่และพ่อ  ซึ่งขณะนี้ร่างยุทธศาสตร์ดังกล่าวผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว โดยตั้งเป้าว่าจะต้องเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก่อนสิ้นเดือนกันยายนนี้

 

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก manager