กรมแพทย์แผนไทยจับมือสภาเภสัชฯพัฒนาฐานข้อมูลยาสมุนไพร รองรับการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 3 พ.ย.)   นพ.ปราโมทย์  เสถียรรัตน์  รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้กล่าวถึงกรณีที่ กระทรวงสาธารณสุข มีนโยบายให้ทุกโรงพยาบาลทุกแห่งส่งเสริม “การใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล”  และกำหนดเป็นแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพสาขาที่ 15 นั้น  ว่า กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ซึ่งมีภารกิจในการพัฒนาการแพทย์แผนไทย  ซึ่งเป็นภูมิปัญญาดั้งเดิมให้มีคุณภาพ  มีมาตรฐานทัดเทียมการแพทย์แผนปัจจุบัน  ขานรับนโยบายนี้ 

 
นพ.ปราโมทย์  กล่าวต่อว่า จากนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้ยาจากสมุนไพรนั้น ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลต่างๆ เพราะมีงานศึกษาวิจัยเพิ่มเติมมากขึ้น และการผลิตยาจากสมุนไพรก็มีมาตรฐานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ายาแผนปัจจุบัน  รวมทั้งเห็นความสำคัญของการใช้ยาจากสมุนไพรว่าจะสร้างฐานที่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการพึ่งตนเองของประเทศได้  แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทางกรมฯ มีความห่วงใยคือการใช้ยาจากสมุนไพรที่เหมาะสม  บนหลักฐานเชิงประจักษ์  เพราะถึงอย่างไรยาจากสมุนไพรก็คือยา จึงควรใช้เมื่อจำเป็นและใช้ด้วยความเหมาะสม 

 

กรมแพทย์แผนไทยจับมือสภาเภสัชฯพัฒนาฐานข้อมูลยาสมุนไพร รองรับการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์

 

ทั้งนี้  เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  ทางกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย ฯ ได้หารือกับสภาเภสัชกรรมในการจัดทำฐานข้อมูลสมุนไพรเพื่อรองรับการใช้งานของบุคลากรทางการแพทย์  โดยเฉพาะเภสัชกรที่ต้องทำงานด้านยา  การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร  การคุ้มครองผู้บริโภค และการส่งเสริมสุขภาพ ซึ่งในระยะเวลา 1 ปีแรกนั้นจำเป็นจะต้องได้ฐานข้อมูลการใช้ยาจากสมุนไพรที่ใช้บ่อยในสถานพยาบาล  ที่บุคลากรทางการแพทย์สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้


รศ. (พิเศษ) ภก.กิตติ  พิทักษ์นิตินันท์  สมาชิกสภาเภสัชกรรมและสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ได้กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า   กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกมีฐานข้อมูลด้านสมุนไพรอยู่แล้ว  แต่ว่าเน้นไปทางตำรับยาแผนไทยที่มีการบันทึกในตำราการแพทย์แผนไทย  แต่ในขณะนี้ทางกรมจะขยายฐานข้อมูลให้กว้างขึ้น  เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์การใช้ยาจากสมุนไพรที่มากขึ้นทั้งในและนอกสถานพยาบาล  โดยสภาเภสัชกรรมจะรวบรวมข้อมูลงานวิจัยที่สมาชิกสภา อันได้แก่  อาจารย์ในคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยต่างๆ และเภสัชกรที่ทำงานด้านสมุนไพร  รวมทั้งประสานข้อมูลจากหน่วยงานเครือข่ายต่างๆ มาใส่ในฐานข้อมูลเพื่อให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เพราะการลงทุนทำฐานข้อมูลนั้นใช้งบประมาณสูง  จึงไม่ควรแยกกันทำ  แต่ควรประสานความร่วมมือกัน

 

วิทย์ณเมธา  สำนักข่าวทีนิวส์