เข้าใจผิดมาตั้งนาน!! กรมสบส.เผยผลสำรวจคน60% เชื่อว่ากินไข่ทำให้เกิดแผลเป็น ชี้แผลเป็น-ปูดโปนเป็นธรรมชาติของเนื้อหนังแต่ละคน

ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th

วันนี้ ( 27 พ.ย.)   นพ.ประภาส จิตตาศิรินุวัตร  รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.)  เปิดเผยว่าในปีงบประมาณ 2560 นี้ กรมสบส. มีนโยบายเร่งเผยแพร่ความรู้สุขภาพแก่ประชาชนนำไปใช้ปฏิบัติดูแลตัวเองและครอบครัวให้มีสุขภาพดี  ที่ผ่านมาพบว่าปัญหาการเจ็บป่วยของคนไทยส่วนหนึ่งเกิดมาจากความเชื่อที่ถ่ายทอดกันต่อๆกันมา  ซึ่งการปฏิบัติตามความเชื่อจะทำให้รู้สึกว่าปลอดภัย ถ้าปฏิบัติขัดกับความเชื่อจะรู้สึกไม่ปลอดภัย ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อการรักษาของแพทย์
         

นพ.ประภาส กล่าวว่า กรมสบส.ได้สำรวจความเชื่อด้านสุขภาพของประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑลและ 4 ภาค จำนวน 501 ตัวอย่าง เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับการดูแลรักษาบาดแผลทั่วๆ ไป ผลปรากฏว่า กลุ่มตัวอย่างร้อยละ60 มีความเชื่อผิดๆ ว่าการรับประทานไข่จะทำให้แผลปูดและเป็นแผลเป็น  ซึ่งความเชื่อดังกล่าวร้อยละ 61 เป็นผู้หญิง  ส่วนผู้ชายเชื่อร้อยละ 58  และกลุ่มที่มีความเชื่อเรื่องนี้มากที่สุดได้แก่กลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไปร้อยละ 68 โดยผู้มีระดับการศึกษาต่ำจะมีความเชื่อเรื่องนี้สูง  กล่าวคือระดับการศึกษาประถมศึกษาเชื่อมากที่สุดร้อยละ 63  รองลงมาคือมัธยมศึกษา ร้อยละ 60  ขณะที่ผู้จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีเชื่อร้อยละ 46  ภาคที่มีความเชื่อสูงสุดได้ภาคเหนือร้อยละ 74 รองลงมาคือภาคกลางร้อยละ 69 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือร้อยละ 62 กรุงเทพฯ/ปริมณฑล ร้อยละ 55  ส่วนภาคใต้มีความเชื่อต่ำสุดคือร้อยละ 39

 

นพ.ประภาส  กล่าวต่อว่า  หัวใจสำคัญของการดูแลบาดแผลทุกชนิดไม่ว่าแผลถลอก แผลเล็ก แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกและแผลผ่าตัด มี 2 ประการคือ 1.การรักษาความสะอาดแผล ป้องกันการติดเชื้อโรค และ 2.การบำรุงร่างกายด้วยอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น โดยสารอาหารที่ช่วยให้บาดแผลหายเร็วขึ้นได้แก่ 1.โปรตีน ซึ่งมีอยู่ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ รวมถึงถั่วเหลือง ถั่วเมล็ดแห้ง เป็นต้น โปรตีนจะช่วยสร้างเนื้อเยื่อทำให้เซลล์แต่ละเซลล์ ประสานยึดติดเป็นเนื้อเดียวกัน  2. วิตามินซี ซึ่งมีมากในผลไม้สดทุกชนิดพบมากในฝรั่ง มะละกอ ส้มต่างๆ และยังพบในผักเช่นบร็อคโคลี่ พริกหวานสีแดง   วิตามินซีจะทำหน้าที่สร้างผนังของเซลล์  ทำให้เส้นเลือดฝอยมีความแข็งแรงและไม่ก่อให้เกิดการอักเสบ  และยังช่วยในการไหลเวียนของเลือดให้ดีขึ้น  ทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น  และ 3.ธาตุสังกะสี ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์ นม ไข่ ตับ ถั่วเหลือง ช่วยให้เซลล์จับกับวิตามินกระตุ้นให้แผลหายเร็วขึ้น  ดังนั้นไข่จึงไม่ใช่อาหารแสลงหรืออาหารต้องห้ามอย่างที่เข้าใจผิดกัน
        

"แผลเป็นที่ปูดโต ไม่ได้เกี่ยวกับการกินไข่ แต่เป็นธรรมชาติของเนื้อหนังของแต่ละบุคคลซึ่งมีความแตกต่างกัน โดยในปีหน้า กรมสบส.จะให้ อสม.ออกไปให้ความรู้ประชาชนตามหมู่บ้านต่างๆ หรือผ่านทางหอกระจายข่าว  รวมถึงการดูแลบาดแผลทั่วไปแนะนำให้ประชาชนทำความสะอาดแผลทุกวัน  หลีกเลี่ยงไม่ให้แผลสกปรกหรือเปียกน้ำ  เพราะอาจทำให้แผลเกิดการอักเสบได้   และควรสังเกตลักษณะบาดแผล หากแผลบวม แดง ร้อน สีของบาดแผลเปลี่ยนไป  มีหนอง ควรรีบไปพบ อสม.หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข เพื่อดูแลรักษาต่อไป "  นพ.ประภาส กล่าว