- 02 ธ.ค. 2559
ติดตามข่าวเพิ่มได้ที่ www.tnews.co.th
วันนี้ ( 2 ธ.ค.) นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าการติดตามแก้ไขปัญหากรณีการเวียนตั๋วปุ๋ยผีขายให้กับสหกรณ์การเกษตรว่า เมื่อวานนี้ ( 1 ธ.ค.) พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ได้สั่งการว่า ภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ให้สหกรณ์การเกษตรทุกแห่ง ติดตามทวงปุ๋ยอินทรีย์อัดเม็ดที่ยังบริษัทเอกชนยังไม่ได้ส่งให้อีกกว่า 60,000 ตัน หลังจากจ่ายเงินล่วงหน้าให้ไปแล้ว 666 ล้านบาท ถ้าไม่มีการส่งปุ๋ย จะฟ้องร้องดำเนินคดีและให้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมด
"ผมได้สั่งไปถึงสหกรณ์จังหวัดในฐานะนายทะเบียนสหกรณ์ ให้สหกรณ์แต่ละจังหวัดเร่งรัดบริษัทส่งมอบปุ๋ยทันที ถ้าส่งมอบไม่ได้ก็ให้ขอเงินคืน หากไม่ได้ ก็ฟ้องร้องทางแพ่งทันทีเพราะบริษัทได้รับเงินไปหมดแล้ว รวมทั้งสหกรณ์ยังสั่งปุ๋ยมาเกินความต้องการของสมาชิก สุดท้ายต้องไล่ฟ้องดำเนินคดีทั้งหมด เพราะเป็นเครือข่ายเดียวกันเข้ามาหาผลประโยชน์บนความเดือดร้อนของเกษตรกร" นายพิเชษฐ์ กล่าว
รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวอีกว่า สำหรับความผิดทางอาญา กำลังสอบสวนอยู่โดยไปดูการกระทำของกรรมการสหกรณ์การเกษตรชุดเดิมที่ยังเหลืออยู่ จะต้องสอบว่า ทำตามมติที่ประชุมหรือไม่ ถ้ามีการยกเว้นจะเหมือนกรณี สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่นที่ประธานไปทำเองทั้งหมด โดยไม่ขอมติที่ประชุมทำโดยไม่มีอำนาจก็จะโดนคดีอาญาด้วย
ส่วนกรณีปัญหาสหกรณ์หลายแห่งนำสารฟื้นฟูปรับสภาพดินมาขายให้สมาชิก โดยทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นปุ๋ยนั้น กำลังสำรวจสหกรณ์การเกษตรทั่วประเทศว่า ได้สั่งซื้อสารดังกล่าวไปจำนวนเท่าไหร่ และยังมีของเหลือค้างสต็อกอยู่กี่แห่ง โดยขณะนี้พบใน จ.ขอนแก่น 20 สหกรณ์ ได้สั่งซื้อสารมาไว้แล้วแต่สมาชิกไม่ต้องการ จึงเหลือค้างสหกรณ์จำนวนมาก ซึ่งการสำรวจภาพใหญ่ของความเสียหายทั้งหมด จะมีคำตอบภายใน 1 สัปดาห์
"ปัญหานี้ เป็นผลจากการไม่สำรวจความต้องการล่วงหน้า ทำให้สารดังกล่าวตกค้างในสหกรณ์แต่ละแห่งมา 2-3 ปี ส่วนใหญ่เป็นสหกรณ์การเกษตรในภาคอีสาน และภาคเหนือ ซึ่งล่าสุดได้ทำหนังสือให้ กรมวิชาการเกษตร เข้าไปตรวจสอบสารฟื้นฟูดิน เพราะขบวนการผลิตเหมือนปุ๋ย อาศัยช่องว่างกฎหมาย ไม่ขึ้นทะเบียนปุ๋ย แต่ไปขายทำให้คนหลงเชือว่า เป็นปุ๋ยรวมทั้งสหกรณ์ร้อยเอ็ดได้ส่งตัวอย่างสารตรวจแล็ปของกรมวิชาการเกษตรแล้ว" รองอธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ย้ำ
รายงานข่าวแจ้งว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งปี 2553 กล่าวคือทางสหกรณ์ได้ทำสัญญากับบริษัทเอกชนในการผลิตปุ๋ยเพื่อส่งมอบให้กับสกหกรณ์ โดยทางสหกรณ์ได้จ่ายเงินไปครบตามสัญญาแต่ปรากฏว่าของที่ได้รับมาไม่ครบ และในสัญญาที่ทำไว้ไม่มีหลักประกันใดๆในการเอาผิดหากผู้ผลิตไม่ส่งของให้ตามสัญญา นอกจากนี้จำนวนในการสั่งผลิตยังมากกว่าความต้องการของสมาชิสหกรณ์ และยังรวมถึงราคาต่อหน่วยที่สูงเกินไป อย่างไรก็ตามเรื่องดังกล่าวนี้เป็นปัญหาที่คาราคาซังมานาน ไม่มีใครเข้ามาจัดการแก้ปัญาหให้จบสิ้นไป มีแต่ครั้งนี้ซึ่งรัฐบาลเอาจริง ซึ่งทำให้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องออกแาการหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน