- 22 ธ.ค. 2559
เดี่ยวหมู่ ลงทุนเเผ่นวีซีดี ขาดทุนเพราะถูกของก็อบปี้เลียนแบบ
ถือเป็นปัญหาใหญ่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกสื่อสารยุคดิจิตอล และกำลังท้าทายความคิดของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องซึ่งจะต้องนำพาตัวเองก้าวให้ทันกับสถานการณ์และเอาตัวรอดไปได้ มิฉะนั้นแล้วความเสียหายในเชิงธุรกิจจะรุนแรงอย่างมากมาย
กรณีตัวอย่างหนึ่งซึ่งกำลังถูกพูดถึงอย่างมากขณะนี้ก็คือ เรื่องราวที่ปรากฏในโลกออนไลน์จากการโพสต์เล่าประเด็นที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงยุคดิจิตอลดังกล่าว ว่า กำลังทำให้การลงทุนที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาทพังทลายไปด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า FB LIVE
ทั้งนี้ที่ผู้บริหารท่านหนึ่งซึ่งดำเนินธุรกิจในชื่อของ EVS Thailand และเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความบันเทิงและมีช่องทางจำหน่ายแผ่นซีดีและดีวีดีผ่านโลกออนไลน์ทั้งเว็บไซด์และเฟซบุ๊ก ได้เล่าว่า ครอบครัวกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากหลังเงินเก็บก้อนสุดท้ายจำนวน 20 ล้านบาทที่ลงทุนไปกับการซื้อลิขสิทธิ์เพื่อผลิต บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "โน้สหมู่" มียอดขายที่ตกลงไปอย่างน่าใจหาย โดยมียอดขายในวันที่เปิดขายวันแรกไม่ถึง 1000 แผ่นแต่อย่างใด
นอกจากนี้ข้อความที่มีการโพสต์ผ่านเว็บไซด์แห่งหนึ่ง ระบุด้วยว่า สาเหตุสำคัญของการทำให้ยอดขาย “ บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "เดี่ยวหมู่" ต้องได้รับผลกระทบมาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ทางโลกโซเชียล เพราะการจัดจำหน่าย CD มีเวลาทำยอดขายแค่ 5-10 วันแรกเท่านั้น ก่อนที่จะมีการก็ปปี้ส่งต่อ ๆ กันไป และที่หนักกว่านั้นก็คือการการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่าน FB live หรือการแพร่ภาพรับชมผ่านกล่องสตรีมเถื่อน เพื่อผลของยอดแชร์ และยอดวิวที่ผู้กระทำจะได้ผลประโยชน์ ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างรุนแรง เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการดาวน์โหลดและแชร์ต่อ ๆ กันไปไม่จบไม่สิ้น
ทั้งนี้ข้อความที่เขียนขึ้นจากความรู้สึก “ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวา ดิฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และความหวังที่จะชนะมันริบหรี่เต็มที เราสู้อยู่กับสิ่งที่สู้ลำบากมากเหลือเกินคือ จิตสำนึกคนไทย เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อย ที่รู้สึกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องธรรมดา ดิฉันในฐานะที่เป็นหนึ่งในครอบครัว EVS Thailand อยากจะกราบขอความเห็นใจทุกท่านที่มีโอกาส หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่เคยได้รับความสนุกสนาน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะจาก โน้สเดี่ยว หรือ โน้สหมู่ อยากให้ทุกท่านช่วยกันอุดหนุน CD DVD ถูกกฎหมาย อย่างน้อยก็เพื่อเป็นที่ระลึกเป็นความทรงจำ และอย่าให้รักแท้ที่เรามีต่อผลงานที่เราชื่นชอบพ่ายแพ้กับสิ่งผิดกฎหมายเลยค่ะ ... “
ต้องถือเป็นข้อความที่ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะนี่คือโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกธุรกิจสื่อสารกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก และกำลังส่งผลรุนแรงต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกระทำจากการละเมิดลิขสิทธิ์จากคนบางกลุ่ม และกลุ่มธุรกิจเถื่อนที่มุ่งผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง
ทั้งนี้จากการสืบค้นพบว่า EVS Thailand เริ่มต้นธุรกิจจากเป็นศูนย์เช่าวิดีโอ โดยเปิดกิจการมาในปี 2523 ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เครื่องวิดีโอเพิ่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย และทางบริษัทได้เริ่มทำหนังออกมาให้คนเช่าจนปี 2530 ก็เริ่มทำม้วนวิดีโอไปขายในคลองถม และมาบุญครอง ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าจะเป็นภาพยนตร์การ์ตูน
จากนั้นในปี 2539-2540 เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนจากม้วนวิดีโอมาเป็นวีซีดี ทาง EVS Thailand ก็เปลี่ยนแนวธุรกิจเป็นการทำเทปวีดีเอเพลงหมอลำและคาราโอเกะ โดยผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกในรูปคาราโอเกะก็คือ ผลงานเพลงของ “ นิตยา บุญสูงเนิน” ซึ่งพัฒนาการของ EVS Thailand ก็เปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัยจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงของแผ่นซีดี และดีวีดี จนล่าสุด EVS Thailand ต้องมาประสบกับผลกระทบกับภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารดิจิตอลอีกครั้ง และเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการสื่อสารที่ขาดซึ่งความชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมาย และผู้ละเมิดก็อาศัยช่องว่างเหล่านั้นดำเนินการ
ทั้งนี้ นายสุทธิสรร สุรนันท์กิ่งเพชร อายุ 60 ปี หรือเฮียเสก ประธานกรรมการบริษัท อี.วี.เอส. เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ EVS Thailand ในฐานะผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย CD ได้เปิดเผยกรณีที่เกิดขึ้นกับการละเมิดลิขสิทธิ์ “ บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "โน้สหมู่" ว่า ภายหลังจากได้ลิขสิทธิ์มาตนเองได้ลงทุนผลิตสินค้าชุดนี้ถึง 2 แสนชุดด้วยเงินลงทุนมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท แต่ปรากฎว่าแผ่นการแสดงที่คาดหมายว่าจะได้ความนิยมอย่างสูง เหมือนกับทุก ๆ ครั้งกลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม ด้วยยอดขายที่เป็นไปอย่างซบเซาเมื่อมีการนำสินค้าไปเผยแพร่ในโลกโซเชียลอย่างผิดกฎหมาย
ต่อข้อคำถามว่าก่อนหน้านี้ ทาง EVS Thailand เตรียมพร้อมรับมือปัญหานี้ไว้หรือไม่ นายสุทธิสรร ยืนยันว่าปัญหานี้ทางบริษัทเองได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด เพราะบริษัทเริ่มได้รับผลกระทบตั้งแต่การเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การแสดงเดี่ยว 10 และ 11 มาก่อนหน้านี้ และได้มีการแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมาแล้ว แต่เมื่อมีการจับกุมผู้กระทำผิดก็จะอ้างว่าเป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์และก็ยกมือไหว้ขอโทษ
ไม่เท่านั้นยังได้เคยขอความร่วมมือทางเฟซบุ๊กกับยูทูบในการหยุดการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ก็พอแก้ปัญหาไปได้ในปีที่ผ่านมา แต่ล่าสุดเจอกับเทคโนโลยีเฟซบุ๊ค ไลฟ์ อันนี้หมดหนทางแก้ปัญหาเลย และถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นในปี 2560 บริษัทอาจต้องถึงขั้นปิดกิจการ หลังจากดำเนินธุรกิจมากว่า 35 ปี มีพนักงานเป็นพันจนลดลงมาเหลือ 400 คนเมื่อ 6-7 ปีก่อนจนปัจจุบันเหลือเพียงกว่า 100 คนเท่านั้น
ทั้งนี้ระบบ เฟซบุ๊ค ไลฟ์ กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลก เพราะเป็นการถ่ายทอดสดวิดีโอผ่านทางเฟซบุ๊ก ด้วยการ “ไลฟ์ สตรีมมิ่ง” ผ่านฟีเจอร์ ไลฟ์ วิดีโอ บนเฟซบุ๊กส่วนบุคคลไปยังบุคคลอื่น ๆ และสามารถรับชมพร้อมกันในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้วิดีโอยังจะถูกเก็บไว้ในหน้าวอลล์โดยผู้เข้าชมนอกจากจะสามารถรับชมเหตุการณ์ได้สด ๆ แล้ว ก็ยังสามารถมาดูย้อนหลังได้อีกด้วย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง