เจ้าของธุรกิจ ซีดีเดือดหลังลงทุนเดี่ยวหมู่ เจอ FB  LIVE ทำเจ๊ง

เดี่ยวหมู่ ลงทุนเเผ่นวีซีดี ขาดทุนเพราะถูกของก็อบปี้เลียนแบบ

ถือเป็นปัญหาใหญ่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกสื่อสารยุคดิจิตอล และกำลังท้าทายความคิดของผู้ประกอบธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องซึ่งจะต้องนำพาตัวเองก้าวให้ทันกับสถานการณ์และเอาตัวรอดไปได้ มิฉะนั้นแล้วความเสียหายในเชิงธุรกิจจะรุนแรงอย่างมากมาย

กรณีตัวอย่างหนึ่งซึ่งกำลังถูกพูดถึงอย่างมากขณะนี้ก็คือ เรื่องราวที่ปรากฏในโลกออนไลน์จากการโพสต์เล่าประเด็นที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนแปลงยุคดิจิตอลดังกล่าว   ว่า  กำลังทำให้การลงทุนที่มีมูลค่าสูงถึง 20 ล้านบาทพังทลายไปด้วยเทคโนโลยีที่เรียกว่า FB  LIVE

ทั้งนี้ที่ผู้บริหารท่านหนึ่งซึ่งดำเนินธุรกิจในชื่อของ  EVS  Thailand   และเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อความบันเทิงและมีช่องทางจำหน่ายแผ่นซีดีและดีวีดีผ่านโลกออนไลน์ทั้งเว็บไซด์และเฟซบุ๊ก    ได้เล่าว่า     ครอบครัวกำลังได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมากหลังเงินเก็บก้อนสุดท้ายจำนวน 20 ล้านบาทที่ลงทุนไปกับการซื้อลิขสิทธิ์เพื่อผลิต บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "โน้สหมู่"  มียอดขายที่ตกลงไปอย่างน่าใจหาย โดยมียอดขายในวันที่เปิดขายวันแรกไม่ถึง 1000 แผ่นแต่อย่างใด

นอกจากนี้ข้อความที่มีการโพสต์ผ่านเว็บไซด์แห่งหนึ่ง ระบุด้วยว่า  สาเหตุสำคัญของการทำให้ยอดขาย  “ บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "เดี่ยวหมู่"  ต้องได้รับผลกระทบมาจากการละเมิดลิขสิทธิ์ทางโลกโซเชียล  เพราะการจัดจำหน่าย CD  มีเวลาทำยอดขายแค่ 5-10 วันแรกเท่านั้น  ก่อนที่จะมีการก็ปปี้ส่งต่อ  ๆ กันไป และที่หนักกว่านั้นก็คือการการละเมิดลิขสิทธิ์ผ่าน FB live  หรือการแพร่ภาพรับชมผ่านกล่องสตรีมเถื่อน   เพื่อผลของยอดแชร์ และยอดวิวที่ผู้กระทำจะได้ผลประโยชน์  ทั้ง ๆ ที่ก็รู้ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์อย่างรุนแรง  เพราะจนถึงปัจจุบันก็ยังมีการดาวน์โหลดและแชร์ต่อ ๆ กันไปไม่จบไม่สิ้น

ทั้งนี้ข้อความที่เขียนขึ้นจากความรู้สึก “ตั้งแต่วันที่  15 ธันวา  ดิฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ มันเป็นการต่อสู้ที่ยาวนาน และความหวังที่จะชนะมันริบหรี่เต็มที   เราสู้อยู่กับสิ่งที่สู้ลำบากมากเหลือเกินคือ   จิตสำนึกคนไทย   เพราะมีคนไทยจำนวนไม่น้อย  ที่รู้สึกว่าการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นเรื่องธรรมดา  ดิฉันในฐานะที่เป็นหนึ่งในครอบครัว EVS Thailand  อยากจะกราบขอความเห็นใจทุกท่านที่มีโอกาส  หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่เคยได้รับความสนุกสนาน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะจาก โน้สเดี่ยว หรือ โน้สหมู่  อยากให้ทุกท่านช่วยกันอุดหนุน CD DVD ถูกกฎหมาย  อย่างน้อยก็เพื่อเป็นที่ระลึกเป็นความทรงจำ  และอย่าให้รักแท้ที่เรามีต่อผลงานที่เราชื่นชอบพ่ายแพ้กับสิ่งผิดกฎหมายเลยค่ะ ... “

ต้องถือเป็นข้อความที่ไม่ต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม เพราะนี่คือโลกแห่งความเป็นจริงที่ทุกธุรกิจสื่อสารกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนัก  และกำลังส่งผลรุนแรงต่อผู้ประกอบธุรกิจที่ถูกกระทำจากการละเมิดลิขสิทธิ์จากคนบางกลุ่ม และกลุ่มธุรกิจเถื่อนที่มุ่งผลประโยชน์ตัวเองเป็นที่ตั้ง

ทั้งนี้จากการสืบค้นพบว่า EVS  Thailand   เริ่มต้นธุรกิจจากเป็นศูนย์เช่าวิดีโอ  โดยเปิดกิจการมาในปี 2523   ซึ่งเป็นยุคสมัยที่เครื่องวิดีโอเพิ่งเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย  และทางบริษัทได้เริ่มทำหนังออกมาให้คนเช่าจนปี 2530  ก็เริ่มทำม้วนวิดีโอไปขายในคลองถม  และมาบุญครอง ซึ่งส่วนใหญ่สินค้าจะเป็นภาพยนตร์การ์ตูน 

จากนั้นในปี 2539-2540  เมื่อเริ่มมีการเปลี่ยนจากม้วนวิดีโอมาเป็นวีซีดี   ทาง  EVS  Thailand   ก็เปลี่ยนแนวธุรกิจเป็นการทำเทปวีดีเอเพลงหมอลำและคาราโอเกะ  โดยผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกในรูปคาราโอเกะก็คือ   ผลงานเพลงของ    “ นิตยา บุญสูงเนิน”  ซึ่งพัฒนาการของ   EVS  Thailand ก็เปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัยจนกระทั่งเข้าสู่ช่วงของแผ่นซีดี และดีวีดี    จนล่าสุด   EVS  Thailand  ต้องมาประสบกับผลกระทบกับภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลกสื่อสารดิจิตอลอีกครั้ง  และเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นภายใต้กลไกการสื่อสารที่ขาดซึ่งความชัดเจนในเรื่องข้อกฎหมาย  และผู้ละเมิดก็อาศัยช่องว่างเหล่านั้นดำเนินการ

ทั้งนี้   นายสุทธิสรร  สุรนันท์กิ่งเพชร   อายุ  60 ปี  หรือเฮียเสก  ประธานกรรมการบริษัท อี.วี.เอส. เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด  และ  EVS  Thailand   ในฐานะผู้ได้รับลิขสิทธิ์ในการจัดจำหน่าย CD ได้เปิดเผยกรณีที่เกิดขึ้นกับการละเมิดลิขสิทธิ์   “ บ็อกเซ็ท ซีดี ดีวีดี "โน้สหมู่"  ว่า ภายหลังจากได้ลิขสิทธิ์มาตนเองได้ลงทุนผลิตสินค้าชุดนี้ถึง  2  แสนชุดด้วยเงินลงทุนมูลค่ากว่า  20 ล้านบาท  แต่ปรากฎว่าแผ่นการแสดงที่คาดหมายว่าจะได้ความนิยมอย่างสูง เหมือนกับทุก ๆ ครั้งกลับกลายเป็นเรื่องตรงกันข้าม ด้วยยอดขายที่เป็นไปอย่างซบเซาเมื่อมีการนำสินค้าไปเผยแพร่ในโลกโซเชียลอย่างผิดกฎหมาย

 

ต่อข้อคำถามว่าก่อนหน้านี้  ทาง EVS  Thailand   เตรียมพร้อมรับมือปัญหานี้ไว้หรือไม่   นายสุทธิสรร  ยืนยันว่าปัญหานี้ทางบริษัทเองได้ติดตามสถานการณ์มาโดยตลอด  เพราะบริษัทเริ่มได้รับผลกระทบตั้งแต่การเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ การแสดงเดี่ยว 10 และ 11 มาก่อนหน้านี้ และได้มีการแจ้งความกับกองบังคับการปราบปรามการกระทำเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมาแล้ว   แต่เมื่อมีการจับกุมผู้กระทำผิดก็จะอ้างว่าเป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์และก็ยกมือไหว้ขอโทษ  

 

ไม่เท่านั้นยังได้เคยขอความร่วมมือทางเฟซบุ๊กกับยูทูบในการหยุดการเผยแพร่ผลิตภัณฑ์ที่มีการละเมิดลิขสิทธิ์ก็พอแก้ปัญหาไปได้ในปีที่ผ่านมา  แต่ล่าสุดเจอกับเทคโนโลยีเฟซบุ๊ค ไลฟ์ อันนี้หมดหนทางแก้ปัญหาเลย  และถ้าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นในปี  2560  บริษัทอาจต้องถึงขั้นปิดกิจการ หลังจากดำเนินธุรกิจมากว่า 35 ปี  มีพนักงานเป็นพันจนลดลงมาเหลือ  400 คนเมื่อ 6-7 ปีก่อนจนปัจจุบันเหลือเพียงกว่า 100 คนเท่านั้น

 

ทั้งนี้ระบบ  เฟซบุ๊ค  ไลฟ์   กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากทั่วโลก เพราะเป็นการถ่ายทอดสดวิดีโอผ่านทางเฟซบุ๊ก ด้วยการ “ไลฟ์ สตรีมมิ่ง” ผ่านฟีเจอร์ ไลฟ์ วิดีโอ บนเฟซบุ๊กส่วนบุคคลไปยังบุคคลอื่น ๆ และสามารถรับชมพร้อมกันในเวลาอันรวดเร็ว     นอกจากนี้วิดีโอยังจะถูกเก็บไว้ในหน้าวอลล์โดยผู้เข้าชมนอกจากจะสามารถรับชมเหตุการณ์ได้สด ๆ  แล้ว ก็ยังสามารถมาดูย้อนหลังได้อีกด้วย 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

-ฮาลั่นเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความฟิน! โน๊ต อุดม สารภาพแล้ว "หลง" เบลล่า แซวแรง.ถ้าเพิ่มวันศุกร์อีกสักวันแทน "ช่วงเวลาน่าเบื่อ" ท่าจะดี

-"ปู่มหามุนี"เดือด"โน๊ต อุดม" หลังเอาชื่อไปล้อเลียนบนเวที ลั่น ผมไม่ได้โหนกระแสนะ เขาอะโหนกระแสผม...ผมดัง!(คลิป)