เข็มผิดทิศ!! "อ้อย"ปากช้าง จุดเริ่มตัณหา ปล่อยวางไม่เป็น ล้นด้วย"พยาบาทวิตก"กับฐานะศิษย์"พระปราโมทย์"??!!

ดูเหมือนเข็มทิศจะชี้ผิดทิศอีกแล้ว สำหรับ "ครูอ้อย"  ฐิตินาถ ณ พัทลุง  เจ้าของหนังสือธรรมะขายดีตีพิมพ์สิบๆครั้ง "เข็มทิศชีวิต" ซึ่งกลับมาอยู่ในกระแสสังคมอีกครั้งหนึ่ง  กลับธุรกิจทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ "จัดสัมมนาปรึกษาปัญหาชีวิต" โดยมี คอร์สค่าเรียนของครูอ้อย ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 45,000 บาท เวลาเรียนเริ่มต้นที่ 2-7 วันขึ้นไป อาทิ คอร์ส "อำนาจแห่งการคิดดี (The Power of good thoughts)" ซึ่งจัดขึ้นครั้งละ 2 วัน ราคา 25,000 รับ 100 คน (ส่วนใหญ่รับครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 คน) คิดเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท!!

และการกลับมาที่ฉาวโฉครั้งนี้เป้นผลจากการที่ครูอ้อยได้โปรโมทผลงาน โฆษณาด้วยการนำภาพดารา นักธุรกิจ ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ที่เคยร่วมคอร์สจำนวนมาก หนึ่งในดาราดังมี "เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน" และ ได้ออกมาโพสต์ชี้แจง ภาพกังกล่าวที่ร่วมมคอร์สห้องเรียนเข็มทิศชีวิตนั้นเป็นภาพเก่าเมื่อ 3 ปีและก้ไม่ได้ไปคอร์สอีกแล้ว เพราะแนวทางไม่ตรงกัน ก่อนที่ถูกนำมาใช้โปรโมทจนถึงปัจจุบัน ตามด้วย อุ๋ย บุดด้า เบลส และครูเงาะ-รสสุคนธ์ กองเกตุ ครูสอนนักแสดง ก็ออกมาชี้แจงกรณีมีภาพตนเองถูกนำไปอ้างขายคอร์สห้องเรียนเข็มทิศชีวิตด้วยเช่นกัน
       

ครูอ้อยได้ใช้คำสั่งของทางหลักพระพุทธศาสนาต่างๆ ทั้งการบรรยายธรรม การสอนนั่งสมาธิ เป็นนักปฏิบัติธรรมและตั้งตัวเป็นกูรูในการทำให้ชีวิตมีความสุข สำเร็จ แต่ก็หาเข้าใจถึงแกนที่แท้จริงของพระพุทธศานา ??

ซึ่งก่อนหน้านี้เข็มทิศครูอ้อย ก็หลงทิศหลงทางตกเป็นข่าวครึกโครม เมื่อประมาณ7ปีที่แล้ว ครูอ้อยได้มีโอกาสเข้าเป็นลูกศิษย์ของพระนักปฏิบัติรูปหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี คือพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี แต่ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นมีข่าวฉาวโฉด้วยการที่เธอไปกล่าวหาพระปราโมทย์ถึงกับไปร้องเรียนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

จากกรณีพระปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ถูกน.ส.ฐิตินาถ  และคณะที่มีนายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบางกอก และประธานมูลนิธิ บ้านอารีย์ กล่าวหาว่า "มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุสธรรม และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช อดีตภรรยา"

พระปราโมทย์ เดิมมีภรรยาที่สมรสตามกฎหมายคือ นางอรนุช สันตยากร ภายหลังนางอรนุชได้ปลงผมมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่สวนสันติธรรมด้วย แต่ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน เป็นเหตุที่ทำให้เกิดคำถามอยู่ในคำฟ้องร้องของ น.ส.ฐิตินาถ  ถึงข้อสงสัยในการยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคซื้อที่ดินสำนักสงฆ์เข้าบัญชีอดีตภรรยาจนเป็นเรื่องราว ถึงขนาดยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของ พระปราโมทย์

ฝ่ายผู้กล่าวหา คงจะชำนาญเรื่องการประชาสัมพันธ์สร้างข่าวไม่น้อย จึงเลือกใช้วิธี อ่อยเหยื่อ ค่อยๆ เปิดประเด็นข้อกล่าวหาทีละประเด็น เพื่อหลอกล่อให้ติดตาม โดยมีเครื่องเคียงเรียกร้องความสนใจประเภท "ทีเด็ด" เทปลับ "คลิบเสียง" และ จดหมายน้อยถึงลูกรัก 2 ฉบับ
ตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ที่ฝ่ายนางสาวฐิตินาถ กับพวก เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอยู่ข้างเดียว โดยพระปราโมทย์ ถือคติ "พระไม่ตีกับโยม" ไม่ตอบโต้ แต่ชี้แจงเท่าที่จำเป็น ปรากฏว่า ฝ่ายพระปราโมทย์ ชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินบริจาค ที่ทำไมต้องโอนให้นางอรนุช อดีตภรรยา ซึ่งมาบวชชีอยู่ในสำนักสวนสันติธรรม เป็นผู้ดูแล ทำไมต้องโอนที่ดินให้ภรรยา รายละเอียดเกี่ยวกับ บัญชีรายรับรายจ่าย สถานะของสวนสันติธรรม ฯลฯ

รวมทั้ง ความสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ที่ฝ่ายที่กล่าวหาให้ข้อมูลว่า มีกุฎิอยู่ใกล้กัน หน้าต่างตรงกัน มองเห็นกันได้โดยไม่มีสิ่งใดๆขวางกั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบ ชี้ชัดว่าข้อกล่าวหาเรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะกุฎิของพระปราโมทย์กับอุบาสิกาอรนุช อยู่ห่างกันประมาณ 120 เมตร มีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฎิของพระอุปัฏฐาก อยู่ใกล้กุฎิพระปราโมทย์ เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถ เป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐาก เพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์ และอุบาสิกาอรนุช ยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้าน อนาลโย ของ น.ส.ฐิตินาถ ก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง

ไม่เพียงแต่คำชี้แจงของลูกศิษย์พระปราโมทย์เท่านั้น แต่บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆของ น.ส. ฐิตินาถ และพวก ที่ยื่นเป็นหนังสือให้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวน นั้น ล้วนได้รับการรับรองยืนยันจากสองหน่วยงานว่า ไม่พบความผิดปกติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ในขณะนั้น กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ชลบุรีว่าผลการตรวจสอบเรื่องของที่ดิน และเงินของสำนักสวนสันติธรรมไม่มีปัญหา เนื่องจากทางสำนักสวนสันติธรรม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่ดินที่ขอตั้งวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องจากนั้นเรื่องราวดังกล่าวก็ค่อยๆเงียบหายไป