ประวัติไม่ธรรมดา !?!? “ครูอ้อยเข็มทิศชีวิต” ชีวิตติดลบปลดหนี้100ล้าน -  มีคดีกับพระอาจารย์ปราโมทย์  จนนำมาสู่หลักสูตรเข็มทิศชีวิต ราคาสูง

ประวัติ ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง อาจารย์สอนหลักสูตรเข็มทิศชีวิต กับคดีฉาวข้อพิพาทกับพระอาจารย์ปราโมทย์ และเก็ยค่าเล่าเรียนแพง คอร์สละ 25,000 บาท

กำลังกลายเป็นประเด็นข่าวมาแรงอยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้หญิงที่มีชื่อว่า“ครูอ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้จุดประกาย“เข็มทิศชีวิต” ที่กำลังมาแรงอยู่ขณะนี้  ล่าสุด เมื่อวันที่16 มิถุนายน  ได้แถลงข่าวหลังได้รับชี้แจงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ค่าเรียนหลักสูตรเข็มทิศชีวิต ที่ราคาสูงถึงคอร์สละ 25,000 บาท  โดยครูอ้อย เผยว่า  ปกติแล้วตนมีหลักสูตรฟรีมากมาย ที่ใครก็สามารถมาเรียนได้ เพียงแต่ว่าหลักสูตรฟรีคนเยอะมาก มีหลายคนที่ไม่มีโอกาสเรียนฟรี ทางเลือกไม่เยอะ สามารถมาเรียนคอร์สพิเศษ ไม่ต้องเบียดกับคนเยอะ

เพราะฉะนั้นเราจะมาทำความรู้จัก ครูอ้อย จากผู้หญิงคนหนึ่งที่มีต้นทุนชีวิตดีเยี่ยม ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างน่าอิจฉาตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ เรียนจบปริญญาโทจากอังกฤษ ซื้อรถยุโรป สุดหรูหราของตัวเองได้ และมีธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่แล้วโชคชะตาพัดพาให้เกิดวิกฤตครั้งใหญ่ ส่งผลให้ชีวิตติดลบ จากการเสียชีวิตของสามีในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ คือ การตั้งบริษัทใหม่ ทิ้งไว้เพียงมรดกเป็นภาระหนี้สินนับสิบล้านบาท
 
 ทั้งความเศร้าโศกจากความสูญเสียและภาระหนี้สิน ล้วนเข้ามาบั่นทอนกำลังใจในการมีชีวิตอยู่จนแทบไม่เหลือ แต่ด้วยกำลังใจจากคนรอบข้าง รวมถึงลูกชายวัยไม่ถึงขวบ ทำให้เธอกลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้งและตั้ง เธอต้องมีชีวิตอยู่ และต้องดำเนินชีวิตให้ดีที่สุดด้วย วันนี้กลับกลายเป็นมหาเศรษฐี มีทั้งคนชื่นชมมีทั้งคนต่อต้าน บทบาทเธอจะเป็นอย่างไร ในวันที่อาจจะเรียกได้ว่าจุดสูงสุด ในสถานะของ “ครูอ้อย”
"อ้อย ฐิตินาถ ณ พัทลุง" เกิดเมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2512 เป็นบุตรคนโตในจำนวน 3 คนของนายไสว ณ พัทลุง เรียนจบการศึกษาระดับปริญญาโท สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยลอนดอน และปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยลอนดอน
       
ที่ผ่านมาเธอเคยทำงานเป็นนักเศรษฐศาสตร์ให้กับบริษัทในเครือบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, ทำงานที่บริษัท Gemopolis และร่วมหุ้นกับเพื่อนตั้งบริษัท Diamond Today รวมถึงเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท Working Diamond จำกัด

ครูอ้อย

 

แต่ที่ทำให้ชื่อเสียงของ "อ้อย ฐิตินาถ" เป็นที่รู้จักขึ้นมาก็คือการออกหนังสือ How to ที่มีชื่อว่า "เข็มทิศชีวิต" ในปี 2547 ที่มีการโปรโมทเรื่องราวของเธอในทำนองว่าอยากรู้มั้ยว่าทำไมผู้หญิงคนนี้สามารถปลดหนี้ที่มีร่วม 100 ล้านได้ภายใน 2 ปีได้อย่างไร พร้อมกับรายละเอียดถึงประวัติชีวิตช่วงหนึ่งของเธอในก่อนหน้านั้นว่านอกจากจะต้องสูญเสียสามีแล้วเธอยังต้องเป็นหนี้กว่า 100 ล้านที่สามีก่อไว้โดยที่เธอไม่ได้รับรู้ด้วย
จากคนที่กำลังล้มเหลวในชีวิตกลับมาอีกครั้งหนึ่งจากการพิมพ์หนังสือ “เข็มทิศชีวิต”ถึง7เล่ม 

สำหรับหนังสือเข็มทิศชีวิตเล่มที่1 พิมพ์ครั้งแรกเดือนธันวาคม ปี47และพิมพ์ซ้ำกว่า60ครั้ง
ได้สำรวจคอร์สค่าเรียนของครูอ้อย ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 45,000 บาท เวลาเรียนเริ่มต้นที่ 2-7 วันขึ้นไป อาทิ คอร์ส "อำนาจแห่งการคิดดี (The Power of good thoughts)" ซึ่งจัดขึ้นครั้งละ 2 วัน ราคา 25,000 รับ 100 คน (ส่วนใหญ่รับครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 คน) คิดเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท!!

ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต

โดยคอร์สดังกล่าวจัดเดือนละ 2 ครั้ง คิดเป็นเงิน 5 ล้าน ซึ่งเมื่อลองรวมรายได้ภายใน 1 ปีจากคอร์สนี้คอร์สเดียว เท่ากับครูอ้อยมีรายรับไปเหนาะๆ อยู่ที่ 60 ล้านบาท!!
       
 ขณะที่ข้อมูลจากนักสืบพันทิป ออกมาเปิดเผยรายการคำนวณรายได้ของกลุ่มบริษัท เข็มทิศสัมมนาดังนี้
       คอร์สเข็มทิศ NLP 2 วัน ราคา [25,000 บาท/คน] x [นักเรียนขั้นต่ำ 200 คน/ครั้ง] x [1 เดือน เปิด 2 ครั้ง] x 12 เดือน = รายรับ 120,000,000 บาท (อ่านว่า หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท) รายจ่ายในการอบรมหลักๆ จะมีแค่ค่าจัดการสถานที่ ประมาณ [1,200,0000 บาท/ครั้ง] x [1 เดือน เปิด 2 ครั้ง] x 12 เดือน = รายจ่าย 28,800,000 บาท (ไม่ถึง 1/4)
       
  สรุปกำไรสุทธิจากการจัดคอร์สสัมมนาเข็มพิษ NLP (120,000,0000 - 28,800,000) = ประมาณ 90 ล้านบาท/ปี

ครูอ้อย แถลง

 

จากนั้นจึงได้เห็นบทบาทของเธอที่เบนเข็มเข้าสู่หลักทางธรรมะ โดยการเข้าไปเป็นลูกศิษย์ของพระนักปฏิบัติรูปหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี คือพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี แต่ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นมีข่าวฉาวโฉด้วยการที่เธอไปกล่าวหาพระปราโมทย์ถึงกับไปร้องเรียนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องราวจะเป็นเช่นไรก็ต้องมาติดตามข้อเท็จจริงว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไร และมาทำความรู้จักกับพระปราโมทย์เสียก่อน

พระอาจารย์ปราโมทย์ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองค์หนึ่ง ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย พระปราโมทย์มีคำสอนที่เกี่ยวกับหลักการภาวนาและแนวทางในการปฏิบัติ โดยหลักของการภาวนานั้นจะมีคำที่เป็นกุญแจสำคัญ คือ “การมีสติรู้กายรู้ใจตามความเป็นจริงด้วยจิตที่ตั้งมั่นและเป็นกลาง” ซึ่งการปฏิบัติขั้นแรก คือ สอนให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้น เมื่อรู้สึกตัวเป็นแล้วให้ย้อนมาดูจิต การดูจิตเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาให้จิตเดินไปสู่การเจริญปัญญาได้

พระปราโมทย์จบชั้นประถมปลายที่โรงเรียนวัดพลับพลาชัย จากนั้นไปเรียนมัธยมที่โรงเรียนโยธินบูรณะ จบแล้วเรียนปริญญาตรี-โทที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีนั้น เข้าร่วมกิจกรรมกับศูนย์นิสิตโดยตลอด งานหลักไม่ใช่การเรียนหนังสือ แต่ได้แก่งานล้มรัฐบาลในช่วง 14 ตุลาคม หลังจากนั้นก็ออกชนบทในฐานะผู้ประสานงานของศูนย์นิสิต ซึ่งพระปราโมทย์ระบุว่า จะว่าเป็นบุญก็คงได้ เพราะชนบทที่เลือกไปนั้นคือภาคอีสาน นับจากนั้นเป็นต้นมาก็คุ้นเคยกับภาคอีสาน แล้วเป็นโอกาสให้เข้าไปศึกษาธรรมตามวัดป่าในเวลาต่อมา

 หลังเรียนจบพระปราโมทย์ ทำงานเป็นลูกจ้าง กอ.รมน. (2518-2521), เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 3-7 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (2521-2535), ผู้ชำนาญการ 8-10 องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (2535-2544)

 

พระปราโมทย์ เดิมมีภรรยาที่สมรสตามกฎหมายคือ นางอรนุช สันตยากร ภายหลังนางอรนุชได้ปลงผมมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่สวนสันติธรรมด้วย แต่ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน เป็นเหตุที่ทำให้เกิดคำถามอยู่ในคำฟ้องร้องของ น.ส.ฐิตินาถ ณ พัทลุง นักเขียนชื่อดัง ถึงข้อสงสัยในการยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคซื้อที่ดินสำนักสงฆ์เข้าบัญชีอดีตภรรยาจนเป็นเรื่องราว
และนี่คือเรื่องราวของพระปราโมทย์ ทีนี้ต้องกลับมาดูกันว่ากรณีที่เป็นปัญหากันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร พระปราโมทย์ได้ถูกน.ส.ฐิตินาถ พร้อมพวกกล่าวหาว่ายักยอก และสาเหตุของการกล่าวหาในครั้งนั้น จะมาจากอะไร?? ทั้งๆที่ตนเองเป็นลูกศิษย์อยู่ ก็ได้มีกระแสออกมาว่าเป็นเพราะความพยายามของเธออยากมีบทบาทในฐานะศิษย์ของพระปราโมทย์ แต่ไม่สามารถที่จะไปถึงจุดนั้นได้ การกล่าวหาจึงได้เกิดขึ้น ซึ่งมาดูวิธีการของการกล่าวหา

 

ประวัติไม่ธรรมดา !?!? “ครูอ้อยเข็มทิศชีวิต” ชีวิตติดลบปลดหนี้100ล้าน -  มีคดีกับพระอาจารย์ปราโมทย์  จนนำมาสู่หลักสูตรเข็มทิศชีวิต ราคาสูง

ฝ่ายผู้กล่าวหา คงจะชำนาญเรื่องการประชาสัมพันธ์สร้างข่าวไม่น้อย จึงเลือกใช้วิธี อ่อยเหยื่อ ค่อยๆ เปิดประเด็นข้อกล่าวหาทีละประเด็น เพื่อหลอกล่อให้ติดตาม โดยมีเครื่องเคียงเรียกร้องความสนใจประเภท "ทีเด็ด" เทปลับ "คลิบเสียง" และ จดหมายน้อยถึงลูกรัก 2 ฉบับ

       ตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ที่ฝ่ายนางสาวฐิตินาถ กับพวก เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอยู่ข้างเดียว โดยพระปราโมทย์ ถือคติ "พระไม่ตีกับโยม" ไม่ตอบโต้ แต่ชี้แจงเท่าที่จำเป็น ปรากฏว่า ฝ่ายพระปราโมทย์ ชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินบริจาค ที่ทำไมต้องโอนให้นางอรนุช อดีตภรรยา ซึ่งมาบวชชีอยู่ในสำนักสวนสันติธรรม เป็นผู้ดูแล ทำไมต้องโอนที่ดินให้ภรรยา รายละเอียดเกี่ยวกับ บัญชีรายรับรายจ่าย สถานะของสวนสันติธรรม ฯลฯ
       
       รวมทั้ง ความสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ที่ฝ่ายที่กล่าวหาให้ข้อมูลว่า มีกุฎิอยู่ใกล้กัน หน้าต่างตรงกัน มองเห็นกันได้โดยไม่มีสิ่งใดๆขวางกั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบ ชี้ชัดว่าข้อกล่าวหาเรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะกุฎิของพระปราโมทย์กับอุบาสิกาอรนุช อยู่ห่างกันประมาณ 120 เมตร มีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฎิของพระอุปัฏฐาก อยู่ใกล้กุฎิพระปราโมทย์ เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถ เป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐาก เพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์ และอุบาสิกาอรนุช ยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้าน อนาลโย ของ น.ส.ฐิตินาถ ก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
       
       ไม่เพียงแต่คำชี้แจงของลูกศิษย์พระปราโมทย์เท่านั้น แต่บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆของ น.ส. ฐิตินาถ และพวก ที่ยื่นเป็นหนังสือให้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวน นั้น ล้วนได้รับการรับรองยืนยันจากสองหน่วยงานว่า ไม่พบความผิดปกติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ในขณะนั้น กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ชลบุรีว่าผลการตรวจสอบเรื่องของที่ดิน และเงินของสำนักสวนสันติธรรมไม่มีปัญหา เนื่องจากทางสำนักสวนสันติธรรม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่ดินที่ขอตั้งวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องจากนั้นเรื่องราวดังกล่าวก็ค่อยๆเงียบหายไป 
หลังจากที่เธอต้องเสียหน้าไปจากข้อกล่าวหาต่อพระปราโมทย์ที่ไม่เป็นความจริงก็ทำให้เธอค่อยๆห่างหายจากบทบาทสาธารณะ แต่แล้ววันหนึ่งบทบาทของน.ส. ฐิตินาถก็ได้กลับมาอีกครั้งหนึ่งในฐานนะนักสะกดจิตและนักปฏิบัติธรรมและตั้งตัวเป็นกูรูในการทำให้ชีวิตมีความสุข สำเร็จ
  และสำหรับการสะกดจิตเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง  แต่การสะกดจิตให้ได้ดีจะต้องมีทั้งศาสตร์และศิลป์  ผู้ที่มีความรู้ต้องหมั่นฝึกฝนและเปลี่ยนตัวอย่างอยู่เสมอ   เพื่อให้มีประสบการณ์กับผู้ถูกสะกด   และวิธีการสะกดให้มาก  เพราะการสะกดจิตแต่ละวิธีจะแตกต่างกันทั้งวิธีการและผลที่จะเกิด  และแม้แต่ผลที่จะเกิดแก่ผู้ถูกสะกดก็จะแตกต่างกันด้วย  ไม่มีผลที่ตายตัวกับวิธีใดวิธีหนึ่งหรือกับทุก ๆ คน  คนปกติทุกคน  สามารถถูกสะกดจิตได้ในมุมมองของแพทย์และพยาบาล ที่ทำเรื่องจิตใต้สำนึกบำบัด และการย้อนอดีตชาติบำบัด (Past Life Regression Therapy) มาช่วยเหลือผู้มีความทุกข์ทางจิตใจ ตั้งแต่ ความเครียด กังวลกลัว โฟเบีย แพนิค นอนไม่หลับ อารมณ์เศร้า ฯลฯ 

ได้เห็นผู้คนจำนวนมากที่หาย  ดีขึ้นมากๆ คลายความทุกข์  ปรับแก้ความสัมพันธ์ เพิ่มความเชื่อมั่น  พบเป้าหมายชีวิต มีคุณภาพการดำรงชีวิตดีขึ้น   ทำให้รู้สึกทึ่งในประสิทธิภาพของวิธีการบำบัดทางเลือกนี้

ซึ่งการสะกดจิตสามารถทำให้เรานึกถึงเรื่องราวในอดีตที่เราอาจจะลืมไปแล้วหรือความลับที่เราไม่เคยบอกใคร หากเราถูกสะกดจิต เรื่องราวต่างๆ ปมในใจก็จะหลุดออกจากปากของเราได้เอง  
ดังนั้นด้วยวิชาการของการสะกดจิตนี้ทำให้น.ส.ฐิตินาถกลับมาโด่งดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง มีลูกศิษย์ลูกหามากมาย
 

ประวัติไม่ธรรมดา !?!? “ครูอ้อยเข็มทิศชีวิต” ชีวิตติดลบปลดหนี้100ล้าน -  มีคดีกับพระอาจารย์ปราโมทย์  จนนำมาสู่หลักสูตรเข็มทิศชีวิต ราคาสูง

 

ในสังคมไทยเราไม่ได้สนใจหลักของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง หลงใหลกับความศักดิ์สิทธิ์และปาฏิหาริย์จึงทำให้น.ส.ฐิตินาถกลายเป็นบุคคลพิเศษขึ้นมา ได้ทำจากจัดหลักสูตรการฝึกอบรม ซึ่งมีแต่ละหลักสูตรผู้อบรมต้องใช้เงินถึง25,000บาท และผู้เข้าอบรมต่อคอสมีจำนวนมาก ทำให้เงินทองก็เริ่มไหลมาเทมา ประเด็นของการจะคอสต่างๆไม่น่าจะใช่ในเรื่องของธรรมะ แม้จะต้องการให้คนมีความสุขแต่ก็เป็นเรื่องของความร่ำรวย ในขณะที่พระพุทธศาสนาสอนให้เข้าใจความเป็นจริงของชีวิต คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สรรพสิ่งเกิดขึ้นมาแล้ว เปลี่ยนแปลง ตั้งคงอยู่ไม่ได้ และท้ายที่สุด ก็ไม่มีอะไร
ดังนั้นเรื่องราวโครงการและหลักสูตรต่างๆของน.ส.ฐิตินาถ ที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ขณะนี้ ยังได้ไปเอาคนที่เคยเข้าฝึกหลักสูตรอบรม และไม่เห็นด้วยในภายหลังมาเป็นเครื่องมือประชาสัมพันธ์จนบุคคลเหล่านั้นออกมาต่อ
ต้าน ไม่ว่าจะ'เอ๋ มณีรัตน์' หรือ อุ๋ย บูดาเบลส ที่เคยต่อต้านวัดพระธรรมกายอย่างเข้มแข็ง

ชาวพุทธชอบแห่ไปตามกระแสความศักดิ์สิทธิ์ ความพิเศษ ทั้งๆที่ความจริงศาสนาพุทธเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องปกติ ความสุข

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- อย่างกับหนังคนละม้วน?? "ครูอ้อย" แฉกลับ "ครูเงาะ" แถลงข่าวพูดไม่จริง ด่าแต่ครูบาร์อาจารย์ ทั้งที่เคยมาร้องไห้ก้มกราบ!?? (มีคลิป)
- งานเข้า!!! "ครูเงาะ" เข้าพบตำรวจตามหมายจับ ขู่กรรโชก "ครูอ้อย" 11 ล้าน โดนจัดหนัก 4 ข้อหา ยังยืนยันความบริสุทธิ์!!!