ยังชื่อเดิม!! กรมประมงแจงไม่มีนโยบายเปลี่ยนชื่อ "ปลาสวาย" พร้อมแนะคุณค่าทางสารอาหารสูง แถมราคาเป็นกันเอง

     หลังจากมีกระแสข่าวออกมาว่า ปลาสวาย เตรียมเปลี่ยนชื่อเป็น ปลาโอเมก้า 3 เพื่อให้ประชาชนหันมาใสใจที่จะบริโภค และเพิ่มมูลค่าทางการตลาดนั้น ทางกรมประมงได้ทำการชี้แจงว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจกันคลาดเคลื่อน ไม่ได้มีนโยบายจะเปลี่ยนชื่อแต่อย่างใด

 

     จากกรณีที่ว่าที่ร้อยโทสมพร กุลบุญ ประมงจังหวัดสกลนคร ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนชื่อเรียกของปลาสวายเป็นปลาโอเมก้า 3 นั้น เป็นเพียงต้องการเผยแพร่ข้อมูลด้านโภชนาการของปลาสวายให้คนไทยหันมานิยมบริโภคเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน 

     นายมีศักดิ์ ภักดีคง รองอธิบดีกรมประมง เปิดเผยว่า ต้องยอมรับว่าในประเทศไทย ปลาสวาย ถือว่าเป็นปลาที่ไม่ได้รับความสนใจ ไม่เป็นที่นิยมนำมารับประทาน เนื่องจากผู้บริโภคคิดว่าเป็นปลาที่มีกลิ่นคาว กลิ่นโคลน และมันเยอะ ทั้งที่จริงปัจจุบันกรมประมงได้ส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและวิธีการเลี้ยงปลาสวายตามระบบการเลี้ยงแบบบริหารจัดการที่ดี (GAP) มาให้เกษตรกรปรับใช้ไม่ว่าจะเป็นวิธีการพักปลาในบ่อน้ำที่สะอาดและน้ำสามารถถ่ายเทได้สะดวกประมาณ 7-10 วัน ก่อนที่จะจับขึ้นมาใช้ประโยชน์จะสามารถช่วยในเรื่องของกลิ่นโคลน และกลิ่นคาวของปลา

     กรมประมงจึงได้เล็งเห็นว่าปลาสวายมีสารอาหารไม่แตกต่างกับปลาทะเล แต่ส่วนใหญ่ผู้บริโภคมักจะนิยมทานปลาทะเลมากกว่าปลาน้ำจืด เพราะคิดว่าคิดว่ากรดมันโอเมก้า 3 มีเฉพาะปลาทะเลเท่านั้น  แต่ความจริงแล้วปลาน้ำจืดบ้านเราก็มีกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่สำคัญคือมีสาร DHA ที่จะมียู่ในกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งจะช่วยในการบำรุงสมอง สายตา และช่วยลดคลอเรสเตอรอลและสารไตรกลีเซอไรด์ซึ่งถ้าได้รับในปริมาณสูงจะก่อให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว ระบบประสาททำงานผิดปกติ ฯลฯ สำหรับปลาน้ำจืดของไทยที่มีโอเมก้า 3 จะมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดซึ่ง “ปลาสวาย” จัดเป็นปลาน้ำจืดอีกหนึ่งชนิดที่มีคุณภาพสารอาหารสูงพอๆกับปลาทะเล และราคาเป็นกันเองถูกใจคนไทยแน่นอน