"ทนายเกิดผล" แจงกระจ่าง "จ่าอากาศ" ยกปืนชี้หน้า "ปู พงษ์สิทธิ์" เจตนาฆ่า-ข่มขู่ ...ชัดเจนอ่านทางนี้

เมื่อวันที่ 3 ส.ค. 2560  ได้มีการแชร์คลิปเหตุกาณ์ที่ “ปู”พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ กำลังเล่นคอนเสิร์ตที่ผับแห่งหนึ่งในจังหวัดอำนาจเจริญ โดยระหว่างนั่นมีชายวัยรุ่นสวมเสื้อสีดำเข้ามาขอจับมือ “ปู”พงษ์สิทธิ์ ที่บริเวณหน้าเวที ขอจับมือได้สักพัก ชายคนดังกล่าวก็ได้ทำการชักปืนออกมาขู่ “ปู”พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ก่อนที่ “ปู”พงษ์สิทธิ์ จะเดินมาที่ชายคนดังกล่าวเพื่อแย่งปืน และเกิดการชุลมุนขึ้น ก่อนที่จะมีคนนำตัวชายคนดังกล่าวออกไป และเสียงคนที่มาเที่ยวโห่ไล่ชายคนดังกล่าว
 

เจตนาฆ่า !?!  "ทนายเกิดผล" แจงกระจ่าง  "จ่าอากาศ" ยกปืนชี้หน้า "ปู พงษ์สิทธิ์" เจตนาฆ่า-ข่มขู่ ...ชัดเจนอ่านทางนี้ (มีคลิป)

เจตนาฆ่า !?!  "ทนายเกิดผล" แจงกระจ่าง  "จ่าอากาศ" ยกปืนชี้หน้า "ปู พงษ์สิทธิ์" เจตนาฆ่า-ข่มขู่ ...ชัดเจนอ่านทางนี้ (มีคลิป)

เจตนาฆ่า !?!  "ทนายเกิดผล" แจงกระจ่าง  "จ่าอากาศ" ยกปืนชี้หน้า "ปู พงษ์สิทธิ์" เจตนาฆ่า-ข่มขู่ ...ชัดเจนอ่านทางนี้ (มีคลิป)

ผจก.ส่วนตัวปู ระบุว่า ตนได้แจ้งตำรวจและมาควบคุมตัวคนร้าย ทราบว่าคือพันจ่าอากาศเอก ภพไตร นาคสุวรรณ โดยทางตนได้แจ้งดำเนินคดีพยายามฆ่า แต่ตำรวจสภ.เมืองอำนาจเจริญตั้งข้อหาข่มขู่และพกพาอาวุธปืนเท่านั้น ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาของทหารนายนี้ได้มายื่นประกันตัวออกไป

ทว่ากลับมีชาวเน็ตหลายคนให้ความเห็นว่าข้อหาที่ทางตำรวจตั้งนั้นอ่อนไปหรือไม่ และมีทั้งถกเถียงกันว่าตกลงแล้วควรแจ้งข้อหา พยายามฆ่าหรือข่มขู่

ในช่วงหัวค่ำวันเดียวกัน ทนายเกิดผล แก้วเกิด ได้ออกมาโพสต์ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุว่า

จากกรณี ทหารใช้อาวุธปืน จ่อไปที่พี่ปู จะถือว่า เป็นเพียงการข่มขู่ หรือ เจตนาฆ่า
โดยปกติ การใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง สามารถทำลายชีวิตของมนุษย์ และทรัพย์สินได้ หากยิงไปในทิศทางที่มีคนหรือสิ่งของ ก็ต้องถือว่า มีเจตนาฆ่า เว้นแต่จะมีพฤติการณ์อื่นชัดเจนว่า เป็นการข่มขู่อย่างชัดแจ้ง เช่น ยิงลงดิน ในระยะห่างมากๆ

แต่การที่ใช้อาวุธปืนเล็งมาที่คน จะมีเจตนาฆ่าหรือเพียงข่มขู่ ก็เป็นการยากที่จะบอกได้ เพราะเจตนาเป็นเรื่องภายในใจ ศาลจึงดูเจตนาที่ปรากฎว่า มีการกระทำถึงระดับไหนแล้ว

การใช้อาวุธปืนเล็งมาที่คน โดยนิ้วชี้อยู่ในโกร่งไก ของปืน ในลักษณะพร้อมยิง ส่วนใหญ่ ศาลมักจะถือว่า เป็นขั้นตอนสุดท้ายของพฤติการณ์นั้นแล้ว ซึ่งหมายถึง มีเจตนาฆ่า คนที่ถูกเล็งก็มีสิทธิปองกันตนเองได้โดยชอบด้วยกฎหมาย
แต่ก็มีหลายฎีกา ที่วินิจฉัยว่า #แม้จะใช้ปืนเล็งและนิ้วอยู่ในโกร่งไกของปืนก็ไม่ใช่ว่าจะมีเจตนาฆ่าเสมอไป

ดังตัวอย่าง คำพิพากษาฎีกาดังต่อไปนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14482/2555

จำเลยอยู่ห่างจากผู้เสียหายประมาณ 1 ฟุต โดยใช้มือล็อกคอของผู้เสียหายไว้พร้อมใช้อาวุธปืนจ่อบริเวณศีรษะซึ่งเป็นระยะที่ใกล้ชิดกับศีรษะมาก หากจำเลยประสงค์ต่อชีวิตของผู้เสียหายแล้ว ย่อมเป็นการยากที่กระสุนปืนจะพลาดจากเป้าหมาย และขณะที่กระสุนลั่นจากอาวุธปืนก็ไม่ปรากฏว่าประจักษ์พยานโจทก์คนใดเห็นว่า ปากกระบอกปืนยังคงจ่อเล็งอยู่ที่บริเวณศีรษะของผู้เสียหายหรือไม่ และการที่ผู้เสียหายเพียงแต่สะบัดศีรษะเพื่อหลบ แต่ก็ไม่ได้ลุกขึ้นวิ่งหนี จึงไม่ทำให้เป้าหมายของวิถีกระสุนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม จำเลยย่อมสามารถที่จะยิงผู้เสียหายซ้ำได้อีก อีกทั้งหลังจากปืนลั่น 1 นัดแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดเข้าห้ามปรามหรือขัดขวางการกระทำของจำเลย และหลังเกิดเหตุสิบตำรวจโทปรีชาติดตามจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลาง ยังปรากฏกระสุนปืนอยู่ภายในรังเพลิงอีกจำนวน 5 นัด แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีโอกาสใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายได้อีก แต่จำเลยก็หาได้กระทำไม่ เมื่อก่อเหตุแล้วจำเลยก็ได้ขับรถจักรยานยนต์กลับไปยังสถานที่ทำงานของตน มิได้หลบหนีไปไหนจนกระทั่งสิบตำรวจโทปรีชาไปจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนของกลาง ตามพฤติการณ์แห่งคดีเชื่อว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่เป็นการใช้อาวุธปืนยิงเพื่อข่มขู่ผู้เสียหายเท่านั้น

( ซึ่งศาลฟังข้อเท็จจริงว่า จําเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย ดังนั้น แม้จําเลยจะใช้อาวุธปืนจ้องผู้เสียหายในระยะใกล้ 2 ถึง 3 เมตร และเอานิ้วสอดไปไว้ในโกร่งไกปืน จําเลยก็ไม่ผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5/2529

จำเลยใช้ปืนจ้องไปทางผู้เสียหายเป็นเวลานานประมาณ 15 วินาทีแต่ก็ไม่ได้ลั่นไกปืนยิงถ้าจำเลยมีเจตนาจะยิงผู้เสียหายก็ยิงได้ทันเป็นจำนวน1นัดก่อนที่ผู้เสียหายจะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังคนอื่นการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงการจ้องปืนขู่ผู้เสียหาย
#ส่วนในกรณีที่ศาลเห็นว่าเป็นกรณีที่มีเจตนาฆ่าแล้ว ได้แก่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20375/2555

จำเลยที่ 1 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงยิงผู้เสียหาย ขณะที่ผู้เสียหายกอดรัดอยู่กับจำเลยที่ 2 แม้กระสุนปืนจะเฉี่ยวศีรษะของผู้เสียหายไปเป็นเหตุให้มีเพียงบาดแผลฉีกขาดที่ศีรษะได้รับบาดเจ็บเท่านั้นก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นการยิงโดยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายและจำเลยได้กระทำไปตลอดครบองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามฆ่าแล้ว แม้ข้อเท็จจริงจะได้ความว่า เมื่อผู้เสียหายหนีไปอยู่หลังกระต๊อบ จำเลยที่ 2 ไปลากผู้เสียหายออกมาแล้ว จำเลยที่ 1 จะยับยั้งไม่ใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายต่อไปจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 ก็ยังต้องรับโทษสำหรับความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นที่ได้กระทำไปแล้ว กรณีหาใช่การกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 เป็นการยับยั้งเสียเองไม่กระทำให้ตลอดหรือจำเลยที่ 1 กลับใจแก้ไขไม่ให้การกระทำนั้นบรรลุผลอันจะทำให้จำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับโทษสำหรับการกระทำความผิดนั้น ตาม ป.อ. มาตรา 82

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7350/2556

ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 2 มีเหตุบาดหมางกับจำเลยเกี่ยวกับแย่งผู้หญิงและเคยมีการเจรจาตกลงกัน ในวันเกิดเหตุจำเลยกับพวกมีอาวุธปืนและมีดตามผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปในบ้านเกิดเหตุ เมื่อพบก็เข้าทำร้ายทันที แสดงว่าจำเลยยังขุ่นเคืองผู้เสียหายที่ 2 เกี่ยวกับผู้หญิงและตั้งใจตามหาผู้เสียหายที่ 2 เพื่อทำร้าย มิใช่ว่าพบโดยบังเอิญแล้วเกิดทะเลาะวิวาทและทำร้ายทันทีในขณะนั้น จำเลยจึงมีโอกาสคิดทบทวนล่วงหน้าก่อนจะกระทำความผิด แล้วจำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในบ้านใช้มีดและปืนเป็นอาวุธฟันและยิงผู้เสียหายที่ 2 บ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยได้วางแผนและตระเตรียมการที่จะฆ่าผู้เสียหายที่ 2 มาก่อนแล้ว จำเลยจึงมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2 โดยไตร่ตรองไว้ก่อน