- 22 ก.ย. 2560
อ่านชัดๆพรุ่งนี้ "วันสิ้นโลกจริงหรือไม่" !! นาซา ยัน ดาวนิบิรุไม่มีอยู่จริง! สดร. เผย 23 ก.ย. เป็นเพียง "วันศารทวิษุวัต" ที่กลางวันเท่ากับกลางคืน!?!
จากกรณีที่มีการแชร์คลิปที่นายเดวิด มี้ด (David Meade) นักเลขศาสตร์ชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ "Planet X - The 2017 Arrival " ได้ออกมาประกาศว่า ดาวเคราะห์นาดใหญ่ที่ชื่อ ดาวเคราะห์เอ็กซ์ (Planet X) หรือที่รู้จักในชื่อ ดาวนิบิรุ (Nibiru) จะพุ่งชนโลกในวันที่ 23 กันยายน 2560 มันจะทำให้เกิดภัยพิบัติอันตรายครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นบนโลก และจะทำให้โลกถึงแก่กาลอวสาน และมวลมนุษยชาติจะดับสูญทั้งสิ้น
เมื่อกระแสดังกล่าวมีการเผยแพร่ออกไปเป็นจำนวนมากก็ได้สร้างความตื่นตระหนกและพูดถึงกันไปต่างๆ นานา ถึงขั้นมีการทำเว็บไซต์เคาท์ดาวน์ นับถอยหลังวันสิ้นโลกอีกด้วย โดยมี้ดอ้างว่าพระคัมภีร์ไบเบิลก็ได้ทำนายเหตุการณ์วันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ เพิ่งเกิดขึ้นบนโลก ไม่ว่าจะเป็น สุริยุปราคาครั้งล่าสุด หรือ เฮอริเคนฮาวี ล้วนเป็นสัญญาณเตือนภัยพิบัติวันสิ้นโลก
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่ามี้ดจะยืนยันเป็นจริงเป็นจังถึงวันสิ้นโลกที่จะเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นเพียงทฤษฎีที่เขาเชื่อเท่านั้น ก่อนหน้านี้เขาเขียนหนังสือว่าดาวนิบิรุจะพุ่งชนโลกในเดือนตุลาคม แต่เขาก็เลื่อนวันให้เร็วขึ้น เป็นวันที่ 23 กันยายน เนื่องจากเหตุการณ์ต่างๆ อย่าง เฮอริเคนฮาวี และสุริยุปราคา
ขณะที่ทฤษฎีเรื่องดาวนิบิรุ ก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงความเชื่อของคนบางกลุ่ม โดยก่อนหน้านี้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซา (NASA - National Aeronautics and Space Administration) ก็ได้ออกมาเปิดเผยหลายครั้งแล้วว่าดาวเคราะห์ที่ว่านั้นไม่มีอยู่จริง ถ้ามันมีดาวเคราะห์น้อยที่สามารถพุ่งชนโลกในเร็วๆนี้แล้วละก็ ทีมนักดาราศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์คงตรวจพบมันตั้งแต่ 10 ปีที่ก่อน และป่านนี้มนุษย์บนโลกต้องสามารถมองเห็นมันได้ด้วยตาเปล่าแล้ว "โครงการสำรวจพื้นที่มุมมองกว้างบนท้องฟ้าในย่านรังสีอินฟราเรดของนาซา (WISE - Wide-Field Infrared Survey Explorer) ทำการสำรวจวัตถุต่างๆ นับร้อย ๆ ที่โคจรอยู่บนท้องฟ้าซึ่งปรากฏว่า ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่สามารถบ่งชี้ได้เลยว่ามีดาวดังกล่าวอยู่ในระบบสุริยะ" องค์การนาซา กล่าว
ด้าน โจนาธาน ซาร์ฟารี นักเขียนของดิเอ็กซ์เพรส ก็ได้ออกมาบอกเช่นกันว่า มันเป็นเรื่องปกติ ที่เรื่องดาราศาสตร์จะถูกโยงไปเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อต่าง ๆ และควระระมัดระวังในความเชื่อพวกนี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดคือเรื่องลวงโลก
(ชมคลิป)
อย่างไรก็แล้วแต่ ดร. ศรัณย์ โปษยะจินดา ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า สำหรับวันที่ 23 กันยายนนี้ เป็นเพียงวันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี ทำให้เวลาในช่วงกลางวันเท่ากับกลางคืน และเป็นวันที่ประเทศทางซีกโลกเหนือย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ส่วนประเทศทางซีกโลกใต้ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ เรียกว่า “วันศารทวิษุวัต”
เนื่องจาก วันศารทวิษุวัต (Vernal Equinox) ในหนึ่งปีจะเกิดขึ้นเพียง 2 ครั้ง คือประมาณวันที่ 20 หรือ 21 มีนาคม และ วันที่ 22 หรือ 23 กันยายน ทำให้เป็นวันที่มีเวลากลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน และในวันพรุ่งนี้ 23 กันยายน เป็นวันศารทวิษุวัต ทำให้ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออก เวลาประมาณ 06:07 น. และตกลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เวลาประมาณ 08:13 น. (เวลา ณ กรุงเทพมหานคร) หลังจากวันดังกล่าว ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนลงทางใต้เรื่อยๆ และหยุดที่จุดใต้สุด ในวันที่ 21 ธันวาคม 2560 จากนั้นจะเคลื่อนขึ้นทางเหนืออีกครั้งหนึ่ง
โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรี ทำให้ในรอบหนึ่งปี โลกจึงมีระยะห่างจากดวงอาทิตย์ไม่เท่ากัน ช่วงที่ใกล้ที่สุดประมาณต้นเดือนมกราคม 147 ล้านกิโลเมตร และช่วงที่ไกลที่สุดประมาณต้นเดือนกรกฎาคม 152 ล้านกิโลเมตร เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของระยะทางใกล้-ไกล ในการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ถือเป็นอัตราส่วนที่น้อยมาก จึงไม่มีผลต่อการเกิดฤดูกาลแต่อย่างใด แต่การที่แกนหมุนของโลกเอียงทำมุม 23.5 องศากับระนาบวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ พื้นที่ต่าง ๆ ทั่วโลกจึงรับแสงอาทิตย์ได้ในปริมาณที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้มีอุณหภูมิต่างกัน รวมถึงมีระยะเวลากลางวันและกลางคืนที่ต่างกันด้วย เป็นเหตุให้เกิดฤดูกาลขึ้นบนโลก จะสังเกตได้ว่า ในฤดูร้อน เวลากลางวันจะยาวกว่ากลางคืน ดวงอาทิตย์จะขึ้นเร็วและตกช้า ส่วนในฤดูหนาว เวลากลางคืนจะยาวนานกว่า ดวงอาทิตย์จะขึ้นช้าและตกเร็ว
ขอขอบคุณคลิปและข้อมูลจาก :
Solar System Exploration Research Virtual Institute , thesun , rt.com , narit