- 05 ต.ค. 2560
ช้างสยาม...จากป่าสู่วัง ... สู่ช้างคู่แผ่นดิน
“เรื่องของช้างสยาม...จากป่าสู่วัง”
ช้าง (ELEPHANT) ในวรรณคดี ถือเป็นสัตว์จตุบาทขนาดใหญ่ และเป็นสัตว์เลือดอุ่น ช้าง อาศัยอยู่ในป่าตามธรรมชาติ ในสมัยโบราณมีการจารึกบันทึกเรื่องราวการกำเนิดของช้างเผือกตามคติความเชื่อไว้หลายรูปแบบ ประเทศไทยรับเอาความเชื่อเรื่องช้างมาปรับแปลงจากคติดั้งเดิมในศาสนาพราหมณ์ว่าช้างถือกำเนิดมาจาก “เกสรดอกบัว” จากพระนาภีของพระวิษณุ ส่วนตามมหากาพย์มหาภารตะระบุว่าช้างถือกำเนิดจากการ “กวนเกษียรสมุทร” และตามรามายณะ เชื่อกันว่าช้างกำเนิดจากธิดาบางองค์ของพระนางโกรธวสากกับ พระประชาบดีกัศยปะ แต่ตามคติความเชื่อของฮินดู กล่าวว่าช้างเชือกแรกกำเนิดจากไข่ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นด้วยความเชื่อศาสนาพราหมณ์ หรือ ศาสนาฮินดู และศาสนาพุทธ มีความเชื่อว่า “ช้าง” เป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งการบำเพ็ญ เพียรบารมี และความศักดิ์สิทธิ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์อรรถกถา “ฉัททัตชาดก” ทุกศาสนาที่กล่าวมาต่างก็ถือว่า “ช้าง” เป็นสัตว์ใหญ่และสูงส่งด้วยความเป็นมงคลทั้งปวง เป็นสัตว์คู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ ทั้งเป็นตัวแทนแห่งความอุดมสมบูรณ์
การดูลักษณะช้างเผือกที่เป็นมงคลนั้น สมัยโบราณมีตำราที่รู้จักกัน เรียกว่า “ตำราคชศาสตร์” เป็นตำราที่บันทึกเรื่องราวว่าด้วยเรื่องของช้าง แบ่งออกเป็น ๒ หมวดหมู่ ได้แก่ “ตำราคชลักษณ์” ว่าด้วยการดูลักษณะความเป็นสิริมงคล โดยแบ่งช้างเผือกออกเป็น ๔ ตระกูล อันได้แก่ ตระกูลอิศวรพงศ์ ตระกูลพรหมพงศ์ ตระกูลวิษณุพงศ์ และสุดท้ายตระกูลอัคนิพงศ์ ส่วน “ตำราคชกรรม” กล่าวกันว่าเป็นตำราที่ฝึกหัดควบคุมสะกดช้างให้ เชื่อฟัง มีคาถาและพระเวทย์กำกับ ซึ่งสมัยก่อนผู้ที่จะร่ำเรียนตำราคชศาสตร์ได้นั้นจะเป็นพระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ที่นี่ผู้เขียนจะขอกล่าวเข้าสู่ช้างในประเทศของเรากันบ้าง
จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ชาติไทย “ช้าง” เป็นสัตว์อยู่เคียงข้างเป็นส่วนหนึ่งสังคมไทยมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่ยังคงใช้คำว่า “สยามประเทศ” สละเลือดเนื้อและชีวิตข้างกายขุนศึกมาช้านาน จนประเทศไทยคงความเป็นเอกราชและอธิปไตยของชาติไทยยืนยงสืบมาจนถึงปัจจุบัน การสงครามบนหลังช้างที่คนไทยอย่างเราๆ ท่านทราบดี ที่เรียกกันว่า “สงครามยุทธหัตถี” ที่โด่งดังเกิดขึ้นในรัชสมัยแผ่นดิน สมเด็จพระนเศวรมหาราช การชนช้างของพระองค์เลื่องลือไปทั่วโลกถึงพระปรีชาสามารถ ที่ทรงเอาชนะอริราชศัตรูอย่างขาดลอย นับเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติชาติไทย ช้างศึกคู่พระบารคู่พระทัยในคราวนั้น นาม “เจ้าพระยาปราบหงสาวดี” มีเรื่องราวและตำนานอ้างอิงมากมาย ถึงขั้นนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์การ์ตูนให้เราได้ชมกัน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ให้ลูกหลานของเราได้มีจิตสำนึกในการรักชาติ และระลึกในพระคุณของ “ช้างต้น” ที่มีส่วนร่วมในการกอบกู้เอกราช นับได้ว่าเป็นสงครามบนหลังช้างที่ยิ่งใหญ่และเป็นครั้งสุดท้ายของประเทศไทย หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ยังไม่ปรากฏสงครามยุทธหัตถีในราชพงศาวดารอีกเลย
นอกจากนี้ ช้าง ยังมีความสำคัญในการคมนาคม การค้ายังต่างประเทศ และเป็นสัตว์ที่คู่บุญญาธิการบารมีของพระมหากษัตริย์ไทยมาโดยตลอด นับตั้งแต่ราชวงศ์สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี
เวลาล่วงเลยผ่านเข้าสู่รัชสมัย กรุงรัตนโกสินทร์ แห่งราชวงศ์จักรี ช้างยังมีบทบาทในสงคราม ที่ยิ่งใหญ่ จารึกในประวัติศาสตร์ตอนต้นกรุงฯ ใน “สงครามเก้าทัพ” ต่อมาได้ใช้ช้างสำหรับการบรรทุกอาวุธยุทธภัณฑ์ในการรบ และยังปรากฏอยู่บนธงชาติไทยผืนแรกของประเทศ “ธงช้างเผือก” เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๖๐ – ๒๓๙๘ ชักบนเรือหลวง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ ๒) ในราชสำนักนั้น ช้างยังคงมีบทบาทที่สำคัญเป็นราชพาหนะคู่พระบารมีของพระมหากษัตริย์ “ช้างเผือก” ได้รับการยกย่องว่าเป็นช้างมงคลเป็นช้างคู่บารมีพระมหากษัตริย์ เมื่อพบช้างสำคัญ บนแผ่นดินไทย ผู้ที่ครอบครองจะต้องนำขึ้นถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินไม่สามารถถือครอบครองเป็นของตนเอง เพราะมีความผิดตรากฎหมายในมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติรักษาช้างป่า กำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา ๒๑ (อันนี้ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านได้ทราบเป็นความรู้) หลังจากนำช้างสำคัญถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินแล้ว พระองค์ทรงปูนบําเหน็จตามสมควรแก่เจ้าของช้างที่นำมาถวาย ในปัจจุบัน “ช้าง” ก็ยังได้รับการยกย่องให้เป็น “สัตว์สัญลักษณ์ประจำชาติไทย”
ช้างสำคัญ เมื่อพบแล้วจะจัดให้มีพระราชพิธีรับและสมโภชขึ้นระวางช้างเป็น “ช้างต้น” ยศนั้นเสมือนชั้นยศเจ้าฟ้า (ช้างต้นจะแทนสรรพนามว่า “ช้าง” ยกตัวอย่างเช่น ช้างต้น ๑ ช้าง หากเป็นช้างป่าจะเรียกเป็น “ตัว” ช้างบ้านจะเรียกว่า “เชือก”) ส่วนการกำหนดชั้นของช้างเผือก พระมหากษัตริย์จะทรงเป็นผู้กำหนดเองโดย แบ่งเป็น ๓ ชั้น คือ
ช้างเผือกเอก เป็นช้างสังข์และช้างสีทองเนื้อริน
ช้างเผือกโท เป็นช้างสีบัวโรย
ช้างเผือกตรี เป็นช้างสียอดตองตากแห้ง สีแดงแก่ สีแดงอ่อน และสีเมฆ
พระมหากษัตริย์ทรงพระราชนามแก่ช้างสำคัญใน “พิธีจารึกนามช้างสำคัญ” ซึ่งนามของช้างจะบ่งบอกถึงที่มา ถิ่นกำเนิด คชลักษณ์ ความเป็นราชพาหนะ ความเป็นสิริมงคลต่างๆ ทุกประการ หรือกล่าวถึงพระบารมี ของพระมหากษัตริย์ ดังรายนามช้างต้นที่มีจารึกไว้ นับตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึง รัชกาลที่ ๙ ดังตัวอย่างที่จะยกมาเล่าให้ผู้อ่านฟัง ในตอนหน้า ช้างคู่พระบารมี ในรัชกาลที่ ๙ ที่ใครๆ หลายคนคงเคยได้ยินนาม “พระเศวต”
โขลงช้างป่าเขาใหญ่
ภาพโขลงช้างป่าเขาอ่างฤไน จันทบุรี
พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงช้าง ที่วัดศรีนวลธรรม วิมล เขต หนองเเเขม กรุงเทพมหานคร
พระราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระสุริโยทัย บริเวณทุ่งมะขามหย่อง จ.พระนครศรีอยุธยา
ภาพธงชาติไทย สมัย รัชกาลที่ 5 (ธงช้างเผือก)
ขอขอบคุณท่านเจ้าของภาพและแหล่งที่มาของเครดิตภาพที่นำมาใช้ในการประกอบสาระข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต
เรียบเรียงโดย โชติกา พิรักษา และศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ
(ข้อมูลทางบรรณานุกรม หอสมุดแห่งชาติ, หนังสือ “ช้างคู่แผ่นดิน” โดย ศศิภา ตันสิทธิ, หนังสือพิพิธภัณฑ์โรงช้างต้น สวนจิตรลดา กรมศิลปากร)