ปชช.รู้ไว้!?!เบี้ยวค่าปรับ:นอกจากต่อภาษีรถได้แล้ว ใบสั่งไม่ใช่คำพิพากษา ตร.ไม่มีอำนาจปรับ-เพิ่มโทษเผยวิธีสกัดกินตามน้ำ ให้เงินทุกบาทเข้าหลวง

จากกรณีมีกระแสข่าวว่า หากผู้ขับขี่ไม่จ่ายค่าปรับตามใบสั่ง ไม่สามารถต่อทะเบียนรถได้ อีกทั้งยังมีการอายัดไม่ยอมให้เสียภาษีประจำปี หรือจะเป็นเหตุเพิ่มโทษ ปรับให้สูงขึ้น หรือเสนอให้มีโทษจำคุกอีกต่างหากนั้น ย้อนไปก่อนหน้านี้ พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้เปิดเผยว่าผู้กระทำความผิดละเมิดกฎจราจร ได้รับใบสั่งแล้วไม่ไปชำระค่าปรับ เมื่อไปต่อทะเบียน นายทะเบียนขนส่งจะตรวจสอบว่ามีการค้างชำระค่าปรับหรือไม่ ถ้ามีการค้างก็ดำเนินการ 3 ขั้นตอน 1.ให้ชำระที่นายทะเบียนหรือพนักงานสอบสวนภายใน30วัน แล้วนำหลักฐานไปขอรับป้ายวงกลม 2.หากไม่ชำระ เจ้าหน้าที่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามกฎหมายขอให้งดการออกเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี 3.ถ้าผู้ที่ถูกออกใบสั่งเห็นว่าตัวเองไม่ได้กระทำความผิด สามารถแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่หรือทำเป็นหนังสือโต้แย้งข้อกล่าวหานั้นภายใน 15 วันนับตั้งแต่นายทะเบียนแจ้ง

ขณะที่นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวว่า ใบสั่งตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2560 เป็นต้นไป จะมีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมการขนส่งทางบก สำหรับประชาชนที่ถูกใบสั่งทำผิดกฎหมายจราจร กรมการขนส่งทางบกจะใช้พื้นที่ของขนส่งเปิดโต๊ะรับชำระค่าปรับแทน สตช.ด้วย หากผู้ต่อภาษีรายใดชำระค่าปรับเรียบร้อยก็สามารถต่อภาษีได้ทันที แต่หากผู้ต่อภาษีไม่สะดวกชำระค่าปรับ ทางเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกจะออกป้ายต่อภาษีชั่วคราว ซึ่งจะมีลักษณะเป็นใบเสร็จ พร้อมแสตมป์ข้อความระบุว่า “ใช้เป็นป้ายต่อทะเบียนภาษีชั่วคราว” หากถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรเรียกตรวจสอบรถ ก็สามารถแสดงป้ายดังกล่าวได้ โดยป้ายต่อภาษีชั่วคราวจะมีอายุ 30 วัน ระหว่างช่วงเวลาดังกล่าวผู้ต่อภาษีต้องไปชำระค่าปรับให้ครบถ้วน แต่หากไม่ดำเนินการหลังพ้น 30 วัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจะเป็นผู้ดำเนินคดีฟ้องร้องต่อไปนั้น

ทั้งนี้ล่าสุดวันนี้(8ต.ค.) ดร.สมเกียรติ โอสถสภา อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีกระแสข่าวว่า หากประชาชนผู้ขับขี่ไม่จ่ายเงินค่าปรับตามใบสั่งแล้ว นอกจากสามารถต่อทะเบียนรถได้แล้ว ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถสั่งปรับได้ อีกทั้งไม่สามารถปรับโทษให้สูงขึ้น กระทั่งจะมีโทษถึงจำคุกนั้นไม่เป็นความจริง และต่อมาเมื่อข้อความดังกล่าวถูกโพสต์ลงมา ก็ปรากฏว่ามีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นไว้ต่างๆมากมาย ซึ่งบางความเห็นเป็นข้อกฎหมาย ความรู้ ที่ประชาชนน่าจะรับรู้ไว้ และจะมีข้อเท็จจริงอย่างไร ก็ยังถือได้ว่าเป็นความคิดเห็นเสียงสะท้อนที่เจ้าหน้าที่ควรรับทราบไว้ โดยเนื้อหาทั้งหมดมีดังนี้

กฤษฎีกาตีกลับ เบี้ยวค่าปรับตามใบสั่ง ต่อทะเบียนรถได้

บรรดาผู้เกี่ยวข้องกับการออกใบสั่ง ต้องทำความเข้าใจให้ชัด ใบสั่งคือการตั้งข้อกล่าวหา แม้จะเชื่อมั่นว่ามีพยานหลักฐานฟังได้มั่นคงตามข้อกล่าวหา ก็ไม่ใช่คำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดแล้ว

ผู้ต้องหาตามใบสั่งสามารถต่อสู้คดี หรือหากไม่สู้คดีแต่ไม่ยินยอมให้เปรียบเทียบปรับ

พนักงานสอบสวนก็ไม่มีอำนาจปรับต้องส่งศาลพิจารณาต่อไป

การอายัดไม่ยอมให้เสียภาษีประจำปี

ไม่ชำระค่าปรับเป็นเหตุเพิ่มโทษ ปรับให้สูงขึ้น

หรือเสนอให้มีโทษจำคุกอีกต่างหาก ดังที่เป็นข่าว จึงทำไม่ได้

เพราะใบสั่งไม่ใช่คำพิพากษาของศาลอันถึงที่สุด

ที่พึ่งของประชาชน

ถ้าให้ดีควรจะมีวินิจฉัยว่าห้ามยึดใบขับขี่ด้วยครับ การกลั่นแกล้งประเภทจับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์แซงรถที่จอดอยู่ช่องทางซ้ายจะได้หมดไป

ตำรวจมุ่งมุมเดียวคือหารายได้

จราจร ลืมหน้าที่หลัก คือ อำนวยความสะดวกให้การจราจรคล่องตัว ไปทำหน้าที่ลอง คือ หารับประทาน รถติดช่าง (แม่ง)

ทำผิดต้องยอมรับโทษ อย่าโกรธถ้าเสียค่าปรับ

ถ้ามิอยากให้ค่าปรับรั่วไหล ไปให้ศาลสั่งลงโทษเสียค่าปรับ

ทรัพย์ก็จะมิรั่วไหล ให้สุนัขที่ไหนแอบกินค่าปรับ ตับๆๆ

เดี๋ยวนี้ขนส่งตั้งโต๊ะกับตำรวจเลย ไม่มีตังค์จ่ายยึดใบขับขี่

อันนั้นทราบครับ แต่ที่อยากรู้คือจะไม่เข้าหลวงเลย 100 แบบแบ่งกันแค่ใน สน. ไรงี้อะครับ ต่อให้เขียนใบสั่งแต่ถ้าเตี้ยมกันภายใน เลยอยากรู้ว่ามันสืบหาประวัติได้มั้ย เพราะขนาดแต่ก่อนยังเคยเห็นตำรวจคนเดียวถือใบสั่ง 2-3 เล่ม คือมันน่าสงใสเลยอยากรู้ครับ

รับสารภาพในชั้นสอบสวน ค่าปรับแบ่งไปตามกฎหมา ย

ถ้าดำเนินคดีไปศาล แล้วศาลสั่งปรับ เงินเข้าหลวงทั้งหมดมิรั่วไหลให้ใครกินตามน้ำ

ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Somkiat Osotsapa