ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่เพจความจริง และ www.tnews.co.th

สมุนไพรลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในร่างกาย มีอยู่มากมายรอบตัวเรา โดยเฉพาะ สมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด เหล่านี้ บางชนิดก็มีพร้อมสรรพคุณช่วยลดไขมันในเลือดได้ด้วยเช่นกัน และยังเป็นพืชผักสมุนไพรที่กินได้ทั้งในคนท้องและคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเบาหวาน แม้กระทั่งเบาหวานในขณะตั้งครรภ์ก็ยิ่งไม่ควรพลาด ว่าแต่จะมีสมุนไพรใดบ้าง มาติดตามกันเลย

1. ชะพลู (Wild Pepper) 
ชะพลูเป็นผักพื้นบ้านคนไทยเราที่มักนิยมนำมาทานสดโดยเฉพาะการทานคู่กับเมี่ยงคำ โดยเชื่อกันว่าจะสามารถช่วยย่อยอาหารและบำรุงธาตุได้ นอกจากนี้ ชาวอีสานยังมีความเชื่อกันอีกว่าในใบชะพลูนั้นมีสรรพคุณในการแก้พิษหอยได้จึงนิยมนำมาประกอบอาหารประเภทแกงกะทิแล้วใส่ร่วมกันกับใบชะพลู และในตำรับยาพื้นบ้านไทยเรานั้นสามารถนำเอาชะพลูมาต้มดื่มเพื่อแก้โรคเบาหวานได้ค่ะ เนื่องจากมีผลการทดลองในกระต่ายพบว่าสรรพคุณของมันช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในกระต่ายที่ป่วยเป็นเบาหวานได้เป็นอย่างดี ในขณะที่กระตายที่มีร่างกายแข็งแรงผิดปกติไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดแต่อย่างใด จึงเหมาะสมอย่างมากที่ควรนำมาประกอบอาหารเพื่อให้ผู้ป่วยเบาหวานรับประทาน เพราะยังมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูง มีแคลเซียม วิตามินเอและซีสูงมาก จึงเป็นผักสมุนไพรที่ได้รับการแนะนำให้นำมาประต้มดื่มแทนชาหรือเป็นยาดื่มได้ทั้งในคนทั่วไปและผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานด้วย พร้อมกันนี้ ยังสามารถทำอาหารทานได้อย่างแสนอร่อยและให้คุณประโยชน์ต่อสุขภาพที่ดีเยี่ยมในหลายประการตามมาด้วย
วิธีการใช้ ให้นำใบชะพลูทั้ง 5 (ใช้ทั้งต้นจนถึงราก)ปริมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำเปล่า 3 ขัน แล้วเคี่ยวให้เหลือเพียง 1 ขัน จากนั้นนำมาดื่มครั้งละ 1/2 แก้วกาแฟ โดยดื่มก่อนอาหาร 3 มื้อ เนื่องจากมีสรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้โดยตรง เพราะฉะนั้น มองข้ามสมุนไพรชนิดนี้กันไปไม่ได้แล้วนะคะ

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

2. มะระขี้นก (Bitter Cucumber
มะระขี้นกเป็นสมุนไพรที่เลื่องชื่อในด้านการลดน้ำตาลในเลือดได้อย่างดีเยี่ยม และเป็นที่รู้จักกันในหลายประเทศ ได้แก่ จีน พม่า อินเดีย แอฟริกาและอเมริกาใต้รวมถึงประเทศไทยเราด้วย โดยสรรพคุณของมันหลายประเทศรู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีในการต้านโรคเบาหวาน สำหรับคนไทยเรามักนิยมนำมาทานเป็นผักลวกจิ้มกับน้ำพริกหรือนำมาประกอบอาหารอื่นๆ แต่หากลวกก่อนทานก็จะช่วยลดในเรื่องรสความขมลงไปได้ มะระขี้นกเป็นผักริมรั้วที่ปลูกได้ง่ายมาก มียอดอ่อนและผลที่นำมาทานได้ มีวิตามินเอและซีค่อนข้างสูง
สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

สำหรับในรายงานที่ได้จากผลการศึกษาวิจัยได้บอกไว้ว่าเราสามารถใช้เพื่อลดน้ำตาลในเลือดได้ทั้งในรูปแบบน้ำคั้น ชงดื่มแบบชาและบรรจุแคปซูลแล้วรับประทานเหมือนยาทั่วไป มะระขี้นกจะออกฤทธิ์คล้ายกันกับอินซูลิน ช่วยกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคสอีกทั้งยังสามารถช่วยเพิ่มการใช้กลูโคสในตับได้ด้วย สำหรับองค์ประกอบที่มีฤทธิ์ในการช่วยลดน้ำตาลในเลือดก็คือ p-Insulin , Charantin และ Visine
การทำยาดื่มจากน้ำคั้นมะระขี้นกสด
วิธีใช้ นำผลมะระขี้นกสดประมาณ 8-10 ผล ผ่าเอาเมล็ดด้านในออกให้หมด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ในเครื่องปั่นแล้วเติมน้ำเล็กจากนั้นปั่นเพื่อคั้นเอาแต่น้ำมาดื่ม (ปริมาณ 100 มล.) หรือจะดื่มแบบทั้งกากเลยก็ได้เช่นเดียวกัน แนะนำให้แบ่งดื่มวันละ 3 เวลาแบบต่อเนื่องจะดีที่สุด
ตำรับยาการทำชาจากมะระขี้นก
วิธีใช้ ให้นำเอาเนื้อจากผลมะระขี้นกผลเล็กเพราะมีตัวยาภายในอยู่มากมาผ่าเอาแต่เนื้อชิ้นเล็กๆ ไปตากแดดให้แห้งแล้วบดให้เป็นผงเพื่อนำมาชงผสมกับน้ำเดือด แนะนำให้ใช้ชิ้นมะระ 1-2 ชิ้นต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบแทนน้ำชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลาหรือจะนำมาต้มแล้วดื่มก็ได้เช่นกัน หากผู้ป่วยเบาหวานนำมาใส่กระติกน้ำร้อนแล้วต้มดื่มแทนน้ำได้ ภายในไม่เกินระยะเวลา 1 เดือนย่อมเห็นผลว่าระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างน่าอัศจรรย์ใจทีเดียว

ข้อควรระวัง : สตรีมีครรภ์ เด็กและคนที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน

3. เตยหอม (Pandan)
ใบเตยหอมมีประวัติการใช้มาอย่างยาวนานและอยู่คู่อาหารคาวหวานคนไทยเราหลายชนิดมาก แพทย์ในยุคสมัยก่อนนั้นมักนิยมใช้รากใบเตยมาทำเป็นยาเพื่อขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูงและใช้เพื่อช่วยลดน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน นอกจากนี้ ในส่วนต่างๆ ยังสามารถนำมาใช้เพื่อบำรุงหัวใจให้สดชื่น แก้อาการอ่อนเพลีย ใบใช้เพื่อแก้ไข้ ร้อนใน รักษาอีสุกอีใสและโรคหัด ปัจจุบันมีการค้นพบว่าเตยหอมนั้นมีฤทธิ์ที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นของจังหวะหัวใจและช่วยขับปัสสาวะ คนไทยเรานิยมนำเตยหอมมาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวานเป็นเวลานานแล้ว แม้ว่าส่วนที่เรานำมาใช้จะเป็นรากก็ตาม แต่สามารถเติมน้ำคั้นจากใบแล้วแต่งกลิ่นอีกทีได้ นอกจากนี้ ผู้คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นเบาหวานก็สามารถทานได้เช่นกันค่ะ
วิธีการใช้ นำรากใบเตยหอมประมาณ 1 ขีด มาสับให้เป็นท่อนเล็กต้มกับน้ำให้เดือด 1 ลิตรแล้วเคี่ยวต่อไปประมาณ 15-20 นาที แล้วนำมาดื่มเป็นยาครั้งละ 1/2 แก้ว วันละ 3 มื้อหรือจะนำมาใช้ร่วมกันกับสมุนไพรประเภทอื่นๆ ด้วยก็ได้เช่นเดียวกัน

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

4. กะเพรา (Holy Basil)  
กะเพราเป็นพืชสมุนไพรที่มีคุณค่าทางยามากที่สุดอีกประเภทหนึ่งในวงการแพทย์อายุรเวท เนื่องจากเราสามารถนำกะเพรามาใช้เป็นยารักษาโรคเบาหวาน แก้ท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้หอบหืดและแก้ไอได้ นอกจากนี้ ยังมีผลดีต่อโรคหัวใจและปัญหาหลอดเลือด ข้ออักเสบและผู้ป่วยในโรคระบบทางเดินหายใจอีกด้วย ที่น่าทึ่งไปกว่านั้นหลายคนอาจจะยังไม่มีใครคาดคิดว่ามันยังมีคุณสมบัติสามารถกำจัดโรคเครียดได้เป็นอย่างดีทีเดียว ในปัจจุบันได้มีการศึกษาทางเภสัชวิทยาเกี่ยวกับกะเพราจนพบว่ามีฤทธิ์ในการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยต่อต้านความเครียด รักษาโรคหอบหืดและช่วยยับยั้งการเกิดโรคมะเร็ง ทั้งนี้ ยังช่วยต้านฮีสตามิน ต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้านอาการอักเสบ แก้ปวด ลดไข้ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลและที่สำคัญยังมีตัวยาสำคัญที่มีคุณสมบัติช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมีการศึกษาพบว่าในใบกะเพราช่วยให้เซลล์ของตับอ่อนสามารถผลิตอินซูลินได้ดียิ่งขึ้น และจากการที่ได้วิจัยการใช้ใบกะเพราในผู้ป่วยเบาหวาน โดยให้ใช้ทานผงใบกะเพราวันละ 2.5 กรัมเป็นเวลา 4 สัปดาห์จะสามารถช่วยละระดับน้ำตาลในเลือดได้ แต่สมุนไพรกะเพรานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานเพียงเล็กน้อยถึงปานกลางหรือหรือผู้ที่เพิ่งป่วยใหม่ๆ นั่นเองค่ะ
วิธีการใช้ นำผงใบกะเพรามาทำเป็นชา โดยใช้ประมาณ 1 ช้อนชาต่อน้ำร้อน 1 ถ้วย สำหรับดื่มวันละ 3 ครั้ง สำหรับแคปซูลนั้นควรทานวันละ 2.5 กรัมต่อวันหรือใช้น้ำมันกะเพรา 2-5 หยดต่อวันก็ได้เช่นเดียวกัน
ข้อควรระวัง : ไม่แนะนำให้ใช้ในสตรีตั้งครรภ์และสตรีหลังคลอดที่กำลังให้นมบุตร 

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

5. ตำลึง (Ivy gourd) 
ตำลึงเป็นสมุนไพรผักพื้นบ้านที่หาทานได้ง่ายมาก เนื่องจากมักขึ้นริมรั้วได้ตามทั่วไป มีคุณค่าอาหารสูงมากและยังพบข้อมูลจากตำรับยาอายุรเวทบอกไว้ว่าสามารถรักษาเบาหวานได้มาเนิ่นนานนับพันปีแล้ว อีกทั้งยังมีผลการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถืออยู่มากมายหลายแห่งที่ให้การยืนยันในด้านของการสมุนไพรลดระดับน้ำตาลในเลือด เราสามารถนำมาใช้ได้ทั้งในส่วนใบ รากและผล อีกทั้งยังเป็นผักที่อุดมด้วยวิตามินเอและซีสูงมาก มีวิตามินบี 2 เพื่อช่วยบำรุงผิวพรรณ มีธาตุเหล็ก บำรุงเลือดและช่วยในเรื่องการระบายท้องเนื่องจากมีเส้นใยอาหารสูงด้วยนั่นเอง
วิธีการใช้ ให้นำเอายอดตำลึงปริมาณ 1 กำมือหรือขนาดแค่ทานพออิ่มมาโรยเกลือหรือเหยาะกับน้ำปลาเพื่อเพิ่มอรรถรสให้มากขึ้นจากนั้นห่อด้วยใบตองแล้วนำไปเผาไฟจนสุก ให้ทานจนหมดหรืออิ่ม แนะนำให้ทานเช่นนี้ติดต่อกันนานเป็นเวลา 3 เดือน จะเห็นผลดีตามมาในด้านการรักษาเบาหวานแน่นอน

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

 

6. ว่านหางจระเข้ (Aloe)
เป็นสมุนไพรที่มีระยะเวลาการใช้มาอย่างยาวนานนับพันปีเลยทีเดียว ตำรับยาสมุนไพรของกรีกได้รายงานการใช้ว่านหางจระเข้อย่างละเอียดซึ่งชี้แจงได้ว่า สามารถใช้รักษาบาดแผล รักษาอาการนอนไม่หลับ ช่วยให้กระเพาะอาหารทำงานดีขึ้น แก้อาการปวดหัว ผมร่วง รักษาโรคเหงือกและฟัน โรคผิวหนังพองเนื่องจากแสงแดดเผาไหม้ แก้ปัญหาสภาพผิวด่างดำและช่วยบำรุงผิวพรรณให้เรียบเนียนนุ่มชุ่มชื้นขึ้น สำหรับปัจจุบันจากการศึกษาวิจัยถึงคุณประโยชน์จากว่านหางจระเข้ทั้งด้านยาและเครื่องสำอางพบว่าทางยานั้นสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ทั้งจากการทดลองของสัตว์และคน ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญในร่างกาย จึงเหมาะสมมากทีเดียวสำหรับผู้ที่ป่วยด้วยโรคเบาหวาน
วิธีการใช้ ให้รับประทานเนื้อว่านหางจระเข้วันละ 15 กรัมติดต่อกันทุกวันเป็นเวลาอย่างน้อย 4 สัปดาห์ก็จะเห็นผลขึ้น

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

7. ลูกหว้า 
เป็นผลไม้ป่าโดยเป็นอาหารทั้งนกและคน รสชาตินั้นจะค่อนข้างออกเปรี้ยว ฝากและหวาน เมื่อทานแล้วปากจะมีสีดำ แต่สามารถนำมาผลิตเป็นไวน์ แยมและน้ำสมุนไพรได้ จากการศึกษาประโยชน์ที่ได้จากหว้าทั้งการทดลองในสัตว์และคนพบว่ามีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เนื่องจากฤทธิ์ของมันจะเข้าไปยับยั้งการทำลายของอินซูลิน ช่วยเพิ่มปริมาณของอินซูลิน กระตุ้นให้เกิดการหลั่งของอินซูลิน ลดน้ำตาลในกระแสเลือด เพิ่มปริมาณไกลโคเจนให้ตับและช่วยยับยั้งการเกิดโรคเบาหวานได้
วิธีการใช้ นำเมล็ดสดลูกหว้าในปริมาณ 100 กรัมหรือ 1 ขีด ต่อน้ำสะอาดปริมาณ 1 ลิตร ให้นำมาต้มจนเดือดแล้วเคี่ยวด้วยไฟอ่อนประมาณ 15 นาที เพื่อให้ตัวยาถูกขับออกมา แล้วทานครั้งละ 1 ถ้วยชา เป็นเวลาวันละ 3 มื้อทุกวันติดต่อกัน 1 เดือน อาการของโรคเบาหวานจะทุเลาลงได้ นอกจากวิธีดังกล่าวแล้ว คุณยังสามารถทำน้ำลูกหว้าดื่มเพื่อบำบัดอาการในผู้ป่วยโรคเบาหวานได้ด้วยเช่นกัน โดยให้นำผลสดหรือแบบแห้งมาต้มน้ำเป็นน้ำสมุนไพรแล้วดื่ม แค่นี้ก็ช่วยรักษาโรคได้แล้วค่ะ ทั้งนี้ อย่าลืมหมั่นเข้ารับการวัดหาระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอพร้อมกันด้วยนะคะ

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

8. อบเชยจีน (Chinese Cinnamon) 
เป็นพื้นสมุนไพรที่มักขึ้นประจำเขตเอเชียใต้ และมีการบันทึกเอาไว้สำหรับใช้เป็นยารักษาโรคตั้งแต่ในสมัยโบราณมาแล้ว ทั้งยังเป็นหนึ่งในเครื่งเทศที่มีความสำคัญตั้งแต่เอเชียจนสู่ยุโรป นอกจากการนำเอาอบเชยมาทำเป็นเครื่องเทศและเครื่องหอมแล้ว ยังนำมาใช้เป็นยาสำหรับรักษาอาการของไซนัส โรคหวัดเล็ก-หวัดใหญ่ โรคมะเร็งอีกทั้งล่าสุดยังมีการค้นพบสรรพคุณในอบเชยซึ่งช่วยลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ เนื่องจากอบเชยมีสาร Methylhydroxy Chalone Polymer(MHCP) ซึ่งทำให้เซลล์ของไขมันสามารถตอบสนองการทำงานในอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้ระบบการทำงานของอินซูลินเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีฤทธิ์ซึ่งคล้ายกันกับอินซูลินที่ช่วยลดน้ำตาลในเลือดลงได้ นอกจากนี้ มันยังมีคุณสมับติช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันร้าย LDL และลดคลอเรสเตอรอลให้มีปริมาณน้อยลงจากกระแสเลือด
วิธีการใช้ ทานผงอบเชยจีนในประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน โดยเป็นทางในเวลาเช้าและเย็นอย่างละครึ่งช้อนชา ซึ่งทานร่วมกับเครื่องดื่มต่างๆ เช่น นม ชา กาแฟ โอวัลตินและโกโก้หรือจะบรรจุลงในแคปซูลทานเป็นยาได้เช่นเดียวกัน แนะนำให้ทานติดต่อกันเป็นประจำทุกวันอย่างน้อย 20 วันค่ะ

หมายเหตุ : กรณีที่หาอบเชยจีนไม่ได้ก็สามารถนำอบเชยชนิดอื่นๆ มาใช้แทนกันได้

สุดยอดต้นไม้เลี้ยงง่าย ปลูกไว้ทาน"ลดเบาหวาน"ดีเยี่ยม

 

9. อินทนิลน้ำ (Queen's Flower)  
เป็นพืชสมุนไพรที่มีดอกออกมาสวยสะดุดตาอย่างมาก สำหรับสรรพคุณนั้นอินทนิลน้ำจะมีฤทธิ์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด มีสารสำคัญที่ชื่อ Corosolic acid ซึ่งออกฤทธิ์คล้ายกับอินซูลินจึงถือว่าเป็นอินซูลินที่ได้จากธรรมชาติหากแต่ไร้ซึ่งผลข้างเคียงใดๆ นอกจากนี้ มันยังช่วยชะลอการย่อยแป้งให้กับระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้การลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์เป็นไปดีขึ้น ใบอินทนิลน้ำที่เหมาะสมกับการนำมาทำยาคือใบแก่ที่มีลักษณะใกล้ผลัดใบ นอกจากนี้ เมล็ดแห้งที่ได้จากต้นอินทนิลน้ำยังมีสรรพคุณช่วยลดน้ำตาลได้ด้วยเช่นกันค่ะ
ตำรับการใช้ยา
1. นำใบอินทนิลน้ำใบแก่ 100 กรัม และน้ำสะอาด 1 ลิตรมาต้มรวมกันให้เดือดจากนั้นเคี่ยวด้วยไฟอ่อนต่อไปประมาณ 15 นาที ปล่อยให้เย็นแล้วนำมาดื่มเป็นยาครั้งละ 1 ถ้วยชา โดยแบ่งเป็น 3 เวลา เช้า-กลางวันและเย็น แนะนำให้ดื่มติอต่อกันเป็นเวลาประมาณ 3 สัปดาห์ก็จะพบความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่สังเกตได้ค่ะ
2. ใบอินทนิลน้ำใบแห้ง 8-9 ใบ นำมาคั่วให้กรอบ จากนั้นนำมาต้มกับน้ำ ดื่มต่างน้ำชาจะสามารถต้มแล้วเก็บแช่ในตู้เย็นไว้ดื่มเรื่อยๆ ก็ยังได้ แนะนำให้ดื่มติดต่อกันอย่างน้อย 12 หม้อ

 

ข้อควรระวัง : สตรีตั้งครรภ์ เด็กและมารดาที่ให้นมบุตร รวมถึงคนที่มีภาวะน้ำตาลนในเลือดต่ำอยู่แล้ว ไม่ควรใช้อินทนิลน้ำ สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรเข้ารับการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำเพื่อจะได้ปรับขนาดในการใช้ยารักษาไปแบบควบคู่กัน