ทันตแพทย์สภา ร่วมกับ สคบ.แถลงความคืบหน้า จัดการ "ธุรกิจจัดการแฟชั่นออนไลน์" หลัง สคบ.ออกประกาศห้ามขายอุปกรณ์จัดฟัน พร้อมชวน "แลปทันตกรรมมาตรฐาน" ย

  วันที่ 10 ม.ค.61ได้จัดการประชุมแนวทางจัดการ "ธุรกิจจัดฟันแฟชั่น" ที่ระบาดและแพร่หลายอยู่โลกออนไลน์อยู่ในขณะนี้ จัดโดยทันตแพทย์สภา ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภ(สคบ.)และมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ)กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ( บก.ปอท.) บริษัทผู้จำหน่ายวัสดุทันตกรรม แลปทันตกรรม เจ้าหน้าที่ทันตแพทย์สภาและ สคบ. 30 คน ณ ห้องประชุม 1 ชั้น5 ศูนย์ราชการ ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพ

                ทพ.ไพศาล กังวลกิจ นายกทันตแพทย์สภา กล่าวว่า ขณะนี้ธุรกิจการจัดฟันแฟชั่น โดยเฉพาะในสื่อออนไลน์มีมูลค่าซื้อขายกว่า 10 ล้านบาทต่อปี ก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้ใส่รีเทนเนอร์ไม่ได้มาตราฐาน เป็นอันตรายต่อฟันและเนื้อเยื่อในช่องปาก รวมถึงมีสารพิษสะสมเนื่องมาจากโลหะหนัก ในกรณีที่ผู้ประกอบการใช้รีเทนเนอร์ไม่ได้มาตรฐานทางการแพทย์ ทันตแพทย์และ สคบ. ที่ผ่านมาจึงได้ร่วมกันดำเนินการแก้ไขปัญหา จากการติดตามพบว่า โฆษณาธุรกิจจัดฟันออนไลน์ ปรากฎข้อความอ้างการจัดฟัน โดยแลปทันตกรรมที่ขึ้นทะเบียนกับทาง อย. เพื่อให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าได้จัดฟันที่ได้มาตรฐาน ดังนั้นจึงอยากให้ผู้ประกอบการแลปทันตกรรมนั้นมาขึ้นทะเบียนกับทาง อย.จริง ทั้งนี้ออกมายืนยันในการให้ข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้บริโภคไม่ถูกหลอกจากร้านค้าจัดฟังแฟชั่น

 เนื่องจากแลปทันตกรรมที่ได้มาตราฐานจะไม่รับงานเหล่านี้เพราะผิดจรรยาบรรณ ซึ่งหลังจากนี้ สคบ.กับทันตแพทย์สภาจะทยอยดำเนินการจำกุมร้านค้าจัดฟันแฟชั่นออนไลน์อย่างจริงจัง นอกจากปกป้องวิชาชีพทันตกรรมแล้ว ยังมุ่งเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ผู้บริโภค ขณะเดียวกัน อย. อยู่ในระหว่างดำเนินการเพื่อกำหนดวัสดุทันตกรรมสำหรับงานจัดฟันทุกรายการ ให้จัดเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องขึ้นทะเบียนเครื่องมือแพทย์ เพื่อให้มีการควบคุมตั้งแต่การนำเข้า ผลิต จำหน่าย โฆษณา ที่ต้องขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ตาม พรบ.เครื่องมือแพทย์ พ..2551 อย่างจริงจัง

 โดยทาง สคบ.ได้ประกาศเรื่อง “ห้ามขายสินค้าอุปกรณ์จัดฟัน” บังคับใช้อย่างเป็นทางการ ส่งผลให้ในการดำเนินธุรกิจจัดฟันแฟชั่นออนไลน์ที่ชวนผู้บริโภครับจัดฟันแฟชั่นและรับทำรีเทนเนอร์ โดยส่งให้ผู้บริโภคส่งรอยพิมพ์ปากที่ไม่มีคำสั่งจากทันตแพทย์รวมทั้งการขายวัสดุจัดฟันทุกประเภท เป็นการกระทำผิดกฎหมาย มีโทษจำคุกไม่เกิน 5ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ ภายหลังผลบังคับใช้ สคบ.และทันตแพทย์สภา ได้ติดตามเฝ้าระวัง ตรวจสอบ จับกุมจัดฟันแฟชั่นผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง จากการสุ่มตรวจ ลวด ยาง ที่ขายตามออนไลน์ พบโลหะหนักแคดเมียม ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ  จำเป็นต้องอาสัยความร่วมมือทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อควบคุม

ทพ.ธงชัย วชิรโรจน์ไพศาล คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ทันตแพทย์สภา ให้ข้อมูลว่า เบาะแสการจัดฟันแฟชั่นในเฟสบุ๊ค มือปราบหมอเถื่อน ตั้งแต่เดือน เมษายน 2560 จนถึงปัจจุบัน พบผู้แจ้งเบาะแสทั้งหมด 308 ร้าน แยกเป็นเปิดร้านจัดฟันแฟชั่น 90 ร้าน จำหน่ายรีเทนเนอร์แฟชั่น 218 ร้าน จากข้อมูลพบการขายอุปกรณ์จัดฟันแฟชั่นออนไลน์เป็นหลัก โดยทางทันตแพทย์สภา ได้ตรวจสอบพบว่าข้อมูลที่ได้รับแจ้งพบว่า มีร้านค้าตั้งอยู่ในพื้นที่ 19 จังหวัด ตอนนี้ได้ส่งเรื่องให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดดำเนินการแล้ว ส่วนในพื้นที่กรุงเทพได้ประสานร่วมมือกับทาง สคบ.ติดตามจับกุมต่อไป

                พ... ประทีป เจริญกัลป์ ผู้อำนวยการกองคุ้มครองผู้บริโภค ด้านธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวว่า หลังจากที่ประกาศใช้ สคบ.ได้ติดตามเฝ้าระวังธุรกิจจัดฟันแฟชั่นออนไลน์อย่างต่อเนื่องมีการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเรื่องนี้ทันตแพทยสภาได้ประสานความร่วมมือมายัง สคบ. ซึ่งทาง พล...ประสิทธิ์ เฉลิมวุฒิศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้ให้ความสำคัญและมอบหมายให้ตนเป็นหัวหน้าทีมเพื่อดำเนินการ นอกที่ สคบ.ได้จัดตั้งศูนย์เฝ้าระวังสังคมออนไลน์ จึงมีการตรวจจับโฆษณาเชิญชวนจัดฟันแฟชั่น โดยเรื่องนี้ สคบ. ทำงานเชิงรุกเพื่อป้องกันเฝ้าระวัง ไม่ให้มีโฆษณาชวนเชื่อก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภค

ทั้งนี้ การจัดฟันได้เปลี่ยนแปลงไป เดิมการรักษาทำที่คลินิกทันตกรรมโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ภายหลังกลายเป็นกระแสจัดแฟชั่น มีการประกอบธุรกิจโดยผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพ โดยเน้นถึงผลประโยชน์ส่วนตน จนก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้บริโภค ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีมาตรการในการดำเนินการอย่างจริงจัง ขณะเดียวกันประชาชนผู้บริโภคนั้นก็ต้องตรวจสอบ ซึ่งการใช้บริการทันตกรรมนั้นต้องทำโดยผู้ประกอบวิชาชีพทันตกรรมเท่านั้น เพื่อไม่ให้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพภายหลัง