เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

เรื่องราวต่างๆของ พญานาค (สันสกฤต: नागराज นาคราช) สัตว์มหัศจรรย์ในตำนาน นั้นล้วนเป็นเรื่องที่หลายๆคนให้ความสนใจกันอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในคืนวัน 15 ค่ำเดือน 11 อีกทั้งยังมีข่าวรอยประหลาดที่มักจะปรากฏให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่า รอยประหลาด รูปลักษณะนี้ เป็นรอยพญานาค รวมไปถึงขั้นที่ได้มีการรวบรวมเอาเค้าโครงเรื่องราวของ พญานาค จากตำนานต่างๆมาเรียบเรียงเขียนขึ้นเป็นบทประพันธ์และได้นำมาจัดสร้างเป็นละครเพื่อความบันเทิงในเวลาต่อมา  จะเห็นได้ว่าความเชื่อเรื่อง พญานาค นั้นถือได้ว่าเป็นความเชื่อที่สั่งสมต่อๆกันมาอย่างช้านาน ผนวกกับความลึกลับและความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนั้นทำให้หลายๆคน เกิดมีความสงสัยใคร่ที่จะรู้ถึงข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ได้มีการถกเถียงโต้วาทีกันมานานหลายยุคหลายสมัยว่า” พญานาค”มีจริงหรือไม่ และตำนานเรื่องเล่าเกี่ยว พญานาค ที่มีมาแต่โบราณเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้ ผู้เขียน ได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทุกเรื่องราวของ”พญานาค”พอสังเขปมาให้ท่านผู้ชมได้อ่านกันค่ะ เชิญรับชมกันได้ ดังต่อไปนี้…

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

เรื่องราวต่างๆของ พญานาค (สันสกฤต: नागराज นาคราช) สัตว์มหัศจรรย์ในตำนาน นั้นล้วนเป็นเรื่องที่หลายๆคนให้ความสนใจกันอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคในคืนวัน 15 ค่ำเดือน 11 อีกทั้งยังมีข่าวรอยประหลาดที่มักจะปรากฏให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งชาวบ้านต่างก็เชื่อกันว่า รอยประหลาด รูปลักษณะนี้ เป็นรอยพญานาค รวมไปถึงขั้นที่ได้มีการรวบรวมเอาเค้าโครงเรื่องราวของ พญานาค จากตำนานต่างๆมาเรียบเรียงเขียนขึ้นเป็นบทประพันธ์และได้นำมาจัดสร้างเป็นละครเพื่อความบันเทิงในเวลาต่อมา  จะเห็นได้ว่าความเชื่อเรื่อง พญานาค นั้นถือได้ว่าเป็นความเชื่อที่สั่งสมต่อๆกันมาอย่างช้านาน ผนวกกับความลึกลับและความแปลกประหลาดมหัศจรรย์ต่างๆ ที่ปรากฏเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งนั้นทำให้หลายๆคน เกิดมีความสงสัยใคร่ที่จะรู้ถึงข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นข้อพิพาทที่ได้มีการถกเถียงโต้วาทีกันมานานหลายยุคหลายสมัยว่า” พญานาค”มีจริงหรือไม่ และตำนานเรื่องเล่าเกี่ยว พญานาค ที่มีมาแต่โบราณเป็นอย่างไร ซึ่งวันนี้ ผู้เขียน ได้ทำการรวบรวมข้อมูลที่ครอบคลุมทุกเรื่องราวของ”พญานาค”พอสังเขปมาให้ท่านผู้ชมได้อ่านกันค่ะ เชิญรับชมกันได้ ดังต่อไปนี้…

  ตำนานพญานาค

พญานาค (สันสกฤต: नागराज นาคราช) หมายถึง นาคผู้เป็นใหญ่ นาคผู้เป็นหัวหน้าตามความเชื่อในศาสนาแบบอินเดีย คล้ายกับพญามังกร (อักษรจีน: 龍王 หลงหวัง) ตามคติศาสนาพื้นบ้านจีน

    ตำนานพญานาค

        นาค หรือ พญานาค  มีรูปลักษณะคือ มีลำตัวเป็นงูใหญ่มีหงอนสีทองและตาสีแดง เกล็ดคล้ายๆปลา มีหลายสี หลายตระกูล ซึ่งแตกต่างกันไปตามวรรณะตามบารมี ของแต่ละตน อาทิ เช่นสีทอง บ้างก็มีสีเขียว บ้างก็มีสีดำ หรือบ้างก็มี เจ็ด สี และ ที่สำคัญ คือนาคตระกูลธรรมดาจะมีแค่เศียรเดียว แต่ พญานาคตระกูล ที่มีวรรณะบารมีสูงขึ้นไปตามลำดับขั้น นั้นก็จะมีเศียรตั้งแต่ สาม เศียร ห้า เศียร เจ็ด เศียร และ เก้า เศียร ซึ่งอาจมีจำนวนเศียรมากขึ้นไปกว่านี้อีกตามลำดับค่ะ นาคจำพวกนี้ได้สืบเชื้อสายมาจาก พญาเศษนาคราช (พญาอนันตนาคราช) ผู้เป็นบัลลังก์ หรือ พระแท่นที่ประทับของ พระวิษณุนารายณ์บรมนาท ณ เกษียรสมุทร( สันสกฤต: नारायण นารายณ์)หรือที่ เราหลายๆคนต่างรู้จักกันในพระนามอีกหนึ่งอย่างว่า พระวิษณุ (สันสกฤต: विष्णु วิษฺณุ) ซึ่ง เป็นหนึ่งในสามตรีมูรติ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั้ง 3 โลกตามความเชื่อของชาวฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ค่ะ พญาอนันตนาคราช นั้นมีประวัติเล่ากันว่ามีกายใหญ่โตมหึมามีความยาวที่ไม่สิ้นสุด และเป็น พญานาค ที่มีจำนวนเศียรมากสุดถึง หนึ่งพันเศียร เลยทีเดียวค่ะ  ส่วนรูปลักษณะของ พญานาค ตามความเชื่อในแต่ละแถบภูมิภาคนั้นล้วนมีความแตกต่างกันออกไปมากมายหลากหลายรูปแบบลักษณะ แต่โดยพื้นฐาน แล้วก็คือ พญานาค ตามอย่างที่ผู้คนในแถบภูมิภาคนั้นๆจะเข้าใจ
 
พญานาค (สันสกฤต: नागराज นาคราช)เป็นสัญลักษณ์แห่งความยิ่งใหญ่ ความอุดมสมบูรณ์ ความมีวาสนา และนาคยังเป็นสัญลักษณ์ของบันไดสายรุ้งสู่จักรวาล นาคเป็นเทพเจ้าแห่งท้องน้ำ บางแห่งก็ว่าเป็นเทพเจ้าแห่งฟ้า ตำนานความเชื่อเรื่องพญานาคมีความเก่าแก่มากๆ ผู้เขียน เชื่อว่าน่าจะเก่ากว่าพุทธศาสนาอีกด้วยค่ะ
จากการสืบค้นผู้เขียนได้พบว่า ตำนานพญานาค นั้นมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียใต้ด้วยเหตุจากภูมิประเทศทางอินเดียใต้มีลักษณะเป็นป่าเขารกทึบจึงทำให้มีงูอาศัยอยู่ชุกชุม และด้วยเหตุที่งูนั้นมีลักษณะทางกายภาพที่ดูมีพลังอำนาจอันน่าเกรงขาม คือ มีพิษร้ายแรงมาก งูจึงเป็นสัตว์ที่มนุษย์ให้การเคารพนับถือว่ามีอำนาจ ชาวอินเดียใต้จึงให้ความเคารพนับถืองูเป็นสัตว์เทวะชนิดหนึ่งในเทพนิยาย และตำนานพื้นบ้านบ้างก็ว่ากันว่าพญานาค นั้นเป็นสัตว์มหัศจรรย์ที่อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ จึงถือเป็นต้นกำเนิดแห่งความเชื่อความศรัทธาในเรื่องราวความเป็นมาของ พญานาค กันอย่างแพร่หลายในภูมิภาคต่างๆ ทั่วทวีปเอเชีย โดยแต่ละแห่งจะมีการเรียกขานชื่อ พญานาค ที่แตกต่างกันออกไป

                           ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า น้ำหนักของต้นกำเนิดเกี่ยวกับความเชื่อเรื่อง พญานาค น่าจะอยู่ที่อินเดียค่ะ ด้วยเพราะมีนิยายหลายเรื่องเลยทีเดียวที่การเล่าถึง พญานาค ยกตัวอย่าง อาทิ เช่นในมหากาพย์มหาภารตะ ซึ่งถือว่า พญานาค เป็นปรปักษ์ของพญาครุฑ ส่วนในตำนานพุทธประวัติ ก็ได้มีการเล่าถึงเรื่องราวบทบาทซึ่ง พญานาค มีส่วนเกี่ยวข้องเอาไว้หลายครั้งด้วยกัน อย่างไรก็ดี ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานั้นก็ยังมีตำนานความเชื่อเกี่ยวกับ พญานาค กันอย่างแพร่หลาย ชาวบ้านในแถบภูมิภาคนี้ล้วนมีความเชื่อที่คล้ายๆกัน คือ เชื่อกันว่ามี พญานาค อาศัยอยู่ในแม่น้ำโขง หรือเมืองบาดาล และเชื่อกันว่าเคยมีคนเคยพบรอยของ พญานาค ที่ขึ้นมาจากแม่น้ำโขงในวันออกพรรษาโดยรอยดังกล่าวที่พบปรากฎอยู่ตรงบริเวณนั้นจะมีลักษณะคล้ายกับรอยของงูขนาดใหญ่ และเมื่อผู้ใดจะลงไปเล่นน้ำในแม่น้ำโขงก็จะต้องยกมือไหว้ก่อนทุกครั้งเพื่อเป็นการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์

พญานาค มีการเกิดขึ้นได้ทั้ง 4 แบบ มีทั้งแบบที่เกิดในน้ำ-แบบที่เกิดบนบก-แบบที่เกิดจากครรภ์และแบบที่เกิดจากไข่ ซึ่งล้วนมีพลังอำนาจอิทธิฤทธิ์สูงมักจำแลงแปลงร่างเป็นมนุษย์รูปโฉมสวยงาม สามารถบันดาลให้เกิดบังเกิดสิ่งที่เป็นคุณแก่มนุษย์ธรรมชาติ และเหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตต่างๆได้มากมายมหาศาลสุดอัศจรรย์และยังมีหน้าคอยพิจารณาชำระล้างลงโทษฑัณท์แก่บรรดามนุษย์ที่ชอบสร้างบาปกรรมใฝ่กระทำการอันชั่วช้าสมานย์ให้เป็นที่เดือดร้อนแก่ผู้อื่นทั้งมนุษย์และสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิตและธรรมชาติ รวมทั้งผู้ทุศีล ทุจริตคดโกงต่างๆในยุคสมัยที่พญานาคราชเข้ามาทำหน้าที่ปกครองปกป้องอารักขาดูแลพระพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่ได้ยืนยาวถึง ห้าพันปี อย่างเต็มที่เต็มกำลังอีกด้วยค่ะ

***ข้อมูลดังที่กล่าวมาข้างต้นนั้นล้วนเป็นไปตามความเชื่อเฉพาะผู้ที่มีเชื้อสายของ พญานาค ซึ่งติดตัวมาจากภพภูมิเดิมในอดีตชาติ ตามความเชื่อความเข้าใจที่หลายๆคนได้รับรู้ได้ฟังสั่งสมมาตามคำบอกเล่าจากเหล่าบรรพบุรุษของแต่ละคนเท่านั้นท่านผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการรับชมสาระข้อมูลนี้อย่างละเอียดกันด้วยนะคะ***

ตระกูลของนาค

        พญานาคเป็นเจ้าแห่งงู แต่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ แต่ก็จัดอยู่ฝ่ายสุคติภูมิ อยู่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา นาคแบ่ง ออกเป็น 4 ตระกูลใหญ่ คือ

         -ตระกูลวิรูปักษ์ พญานาคตระกูลสีทอง

        - ตระกูลเอราปถ พญานาคตระกูลสีเขียว

        - ตระกูลฉัพพยาปุตตะ พญานาคตระกูลสีรุ้ง

        - ตระกูลกัณหาโคตมะ พญานาคตระกูลสีดำ

        พญานาคเกิดได้ทั้ง 4 แบบ คือ

         1. แบบโอปปาติกะ เกิดแล้วโตทันที

         2. แบบสังเสทชะ เกิดจากเหงื่อไคล สิ่งหมักหมม

         3. แบบชลาพุชะ เกิดจากครรภ์

         4. แบบอัณฑชะ เกิดจากฟองไข่

       พญานาคชั้นสูงเกิดแบบโอปปาติกะ เป็นชนชั้นปกครอง ที่อยู่ของพญานาคมีตั้งแต่ในแม่น้ำ หนอง คลอง ภูเขา ถ้ำ ป่า ลำห้วย บึงต่างๆ วัดวาอารามที่มีความเก่าแก่ตามเจดีย์โบราณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเคยมีความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน และ วิมานในอากาศ จนไปถึงสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เหล่าบรรดาพญานาค ล้วนอยู่ในการปกครองของ องค์ท้าววิรูปักษ์ ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศตะวันตก สาเหตุที่ทำให้บังเกิดเป็นพญานาคเพราะอดีตชาติเคยให้ทานโดยหวังผลบุญจากการให้ทานเมื่อตายไปจะไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ตัวอย่างของผู้ที่ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  คือพระเจ้าพิมพิสาร แห่งกรุงราชคฤห์ ซึ่งเป็นพระราชบิดา ของพระเจ้าอาชาตศัตรู ได้ทรงปฏิบัติธรรมจนสำเร็จเป็นโสดาบันบุคคล เมื่อสวรรคตแล้วก็ไปบังเกิด ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ เป็นสหายของท้าวเวสสุวรรณมหาราช ชื่อว่า ชนวสภยักษ์ เนื่องจากอดีตชาติเคยทำบุญเจือด้วยราคะ นั่นเองค่ะ

สำหรับเรื่องตำนานพญานาคนั้นได้มีการเล่าต่อๆกันมาอย่างช้านานตั้งแต่สมัยโบราณจวบกระทั่งปัจจุบันว่า พญานาค นั้นมักจะจำแลงแปลงร่างเนรมิตรูปกาย เป็นมนุษย์รูปร่างหน้าตาสวยงาม ขึ้นมานั่งฟังธรรมร่วมกับชาวบ้านตามวัดที่มีอาณาเขตอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่ๆในวันพระใหญ่ซึ่งเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา …อาทิ เช่นทุกๆ ปี ในคืน”วันออกพรรษา “หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ณ ลำน้ำโขงตรงจุดบริเวณรอยเชื่อมต่อระหว่าง”จังหวัดหนองคาย“กับ”เมืองเวียงจันทน์” โดยเฉพาะที่ อ.โพนพิสัย มักจะเกิดปรากฏการณ์อันน่าพิศวง ซึ่งก็น่าจะเป็นปรากฎการณ์ที่ทุกคนนั้นมีความคุ้นเคยและต่างก็รู้จักกันดีในนาม…“บั้งไฟพญานาค” ซึ่ง บั้งไฟพญานาค นั้นมีจะมีรูปลักษณะเป็นลูกไฟประหลาดลักษณะคล้ายๆกับไข่ไก่สีแดงส้ม พวยพุ่งขึ้นมาจากใต้ลำน้ำโขงแล้วดับหายไปในอากาศ แบบไร้เสียงไร้ควัน ไร้กลิ่น ในช่วงระยะเวลาสั้นๆแค่เพียง 5-10 วินาที โดยเริ่มมีปรากฎให้เห็นตั้งแต่ช่วงเวลาหัวค่ำไปจนถึงกลางดึกที่ดูแล้วน่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ตราบจนทุกวันนี้ บั้งไฟพญานาค ก็ยังคงเป็นปริศนาอันมืดบอดสนิท ไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาที่แน่ชัด รอคอยให้มนุษย์ผู้มีความขี้สงสัยใคร่รู้ทั้งหลายมาพิสูจน์และช่วยกันคบคิดต่อไปว่า..บั้งไฟพญานาค ที่เห็นกันนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร? บ้างก็เชื่อว่าเป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของเหล่า พญานาค ที่อาศัยอยู่ใต้ลำน้ำโขง หรือ เมืองบาดาลบ้างก็ว่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติส่วนบางคนว่าจริงๆแล้วบั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์นั้นแหละ!! แต่ไม่ว่าบั้งไฟพญานาคจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไรก็ตาม สิ่งหนึ่งซึ่งถือเป็นสีสัน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ก็คือ เรื่องราวของเมืองพญานาคใต้ลำน้ำโขงช่วงเขต จ.หนองคายและเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งไปสอดรับกับเรื่องของพญานาคในทางพุทธศาสนา ที่มีบันทึกไว้ว่า…แต่เดิมทีเหล่าบรรดา พญานาค ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาลนั่นมีนิสัยที่ดุร้ายมาก แต่เมื่อ พระพุทธเจ้า เสด็จมาโปรดสัตว์ ครั้นเมื่อเหล่าพญานาคในเมืองบาดาลได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ พระพุทธเจ้า ทรงเมตตาแสดง(พระธรรมเทศนา)โปรดแก่เหล่าบรรดา พญานาค ที่อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล พญานาค ต่างก็บังเกิดความเลื่อมใสศัทธาในพุทธศาสนาและหลักธรรมการปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างมากนับแต่นั้นเป็นต้นมา เหล่าบรรดา พญานาค ต่างก็เลิกนิสัยดุร้าย พากันหันหน้าเข้าสู่ทางธรรมฝึกการปฏิบัติสมาธิครองอุโบสถศีลให้ทานเป็นนิตย์ และมุ่งมั่นทำตามกฏระเบียบวินัย ที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงมีพระบัญญัติไว้อย่างเคร่งครัด ด้วยเหล่าบรรดา พญานาค นั้นต่างก็มีใจมุ่งหวังปรารถนาที่จะออกบวชเพื่อแสวงหาความสงบสุขดั่งเช่น พระพุทธเจ้า และมีความต้องการที่จะหลุดพ้นจากภพภูมิแห่งตน แต่ก็ติดตรงที่ พญานาค นั้นเป็นสัตว์จึงไม่สามารถที่จะบวชครองตนเปป็นสมณเพศอยู่ภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์ได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์ ซึ่งกฏวินัยข้อห้ามข้อนี้เองที่ได้สร้างบาดแผลความเจ็บปวดรวดร้าวใจให้แก่บรรดา พญานาค อย่างแสนสาหัส “ในคัมภีร์มหาวรรค แห่งพระวินัยปิฎก”

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

[มีเขียนระบุเอาไว้แค่นี้ส่วนที่เหลือนั้นน่าเป็นการเล่าเสริมขึ้นมา] ก่อนที่ พญานาค จะทูลลาพระพุทธเจ้ากลับไปยังภพภูมิของตน พญานาค ได้ทูลขอพรกับ พระพุทธเจ้า เอาไว้ว่า..”ในเมื่อตนนั้นเป็นเพียงสัตว์ ไม่สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ดั่งเช่นมนุษย์ ฉะนั้น ตนขอฝาก ชื่อ (คำว่านาค)ของตนไว้ให้นำไปใช้เรียกขานนามของผู้ที่จะเข้าบวชเป็นภิกษุใหม่ในพุทธศาสนา เพื่ออาศัยให้ผู้ที่จะเข้าพิธีบวชเป็นภิกษุใหม่นั้นอุทิศผลบุญกุศลมาให้แก่ตนซึ่งไม่สามารถบวชได้ [เพราะเหตุนี้ก่อนผู้ที่บวชจะบวชเข้าเป็นภิกษุใหม่จึงถูกเรียกขานนามว่า “นาค” สืบมา]เนื่องจากสาเหตุที่ว่าพวกตนนั้นเป็นเพียงสัตว์ พญานาคจึงได้ตั้งจิตอธิษฐานปวารณาตนเป็นพุทธมามกะได้เป็นผู้ทำหน้าที่ในการคุ้มครองปกป้องดูแลพุทธศาสนาคอยสืบสานและสืบทอด หลักธรรม แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงอยู่ยาวนานจวบกระทั่งครบห้าพันปี….

***พุทธมามกะ แปลว่า ผู้ถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นของเรา หมายถึงผู้ประกาศตนว่าขอนับถือ พระพุทธเจ้า เป็น สรณะ หรือผู้ประกาศตนว่าเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง***

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑ - หน้าที่ ๘๒๙
บุคคลชื่อว่านาค เพราะอรรถว่า ไม่มา อย่างไร ?  กิเลสเหล่าใด อันบุคคลนั้นละได้แล้วด้วยโสดาปัตติมรรค  บุคคลนั้นย่อมไม่มา  ไม่ย้อนมาไม่กลับมา

สู่กิเลสเหล่านั้นอีก  กิเลสเหล่าใดอันบุคคลนั้นละได้แล้วด้วยสกทาคามิมรรค....ด้วยอนาคามิมรรค....ด้วยอรหัตตมรรค บุคคลนั้นย่อมไม่มา ไม่ย้อนมา ไม่กลับมาสู่กิเลสเหล่านั้นอีก บุคคลชื่อว่า นาค เพราะอรรถว่า ไม่มา อย่างนี้.

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

เรื่องเล่าขาน”ตํานานพญานาคกับพระพุทธศาสนา”ตามความเชื่อที่สืบต่อกันมาแต่โบราณกาล!!

 

 

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเข้ากับเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ…ขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก:วิกิพีเดีย,ประวัติความเป็นของพญานาค,และข้อมูลเพิ่มเติม,(บางส่วน)
จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย: โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์