- 11 มี.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
จากกรณี ดร. กณิตา อุ่ยถาวร หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้ออกมาตอบโต้ผ่านเฟซบุ๊ก Kanita Ouitavon ถึงพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) พร้อมได้ตั้งคำถามกลับไปในเรื่องการตรวจพิสูจน์หลักฐานวัตถุพยานดีเอ็นเอเสือดำ บนมีดและเขียง แต่ไม่สามารถระบุดีเอ็นเอคนใช้ได้ชัดเจน เหตุเพราะกรมอุทยานฯ นำไปตรวจหาดีเอ็นเอเสือดำก่อนนั้น อาจทำให้ประชาชนมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน
ทั้งนี้หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการนิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานฯ เป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมดูแลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอสัตว์ป่าในคดีนี้ ขอชี้แจงให้ทุกท่านเข้าใจ...ดังนี้ (คลิกอ่านข่าวก่อนหน้า : แล้วจะให้ปชช.เชื่อใจได้งัย?!? หน.นิติวิทยาศาสตร์กรมอุทยานฯงง ศรีวราห์ไล่นิติกร!?! งัดหลักฐานตอกหน้าDNAเสือดำ!?! ใครบิดเบือนความจริง???) และต่อมา ดร. กณิตา ได้โพสต์ อีกหนึ่งประเด็นสำคัญเกี่ยวเนื่องกับข้อสงสัยที่เริ่มต้นมาจากมุมมองของพล.ต.อ.ศรีวราห์
“มีอีกประเด็นหนึ่งในเนื้อข่าว...ที่ท่านกล่าวว่ามีดพก 2 เล่ม (คงหมายถึงมีดเหน็บหรือมีดเดินป่า) ที่ทางแล็บนิติวิทยาศาสตร์ของกรมอุทยานฯ ตรวจพบดีเอ็นเอของเสือดำซึ่งเป็นเสือดำตัวเดียวกันแล้ว แต่ท่านคิดว่าไม่น่าจะใช่อาวุธที่ใช้ชำแหละเสือดำได้.... ตรงนี้อ่านแล้วไม่ทราบและไม่เข้าใจจริงๆค่ะว่าท่านใช้หลักการใดในการสรุปเช่นนั้น? แล้วอะไรถึงจะใช้ชำแหละเสือดำได้คะ? อย่างไรก็ตามก็ขอเป็นคนหนึ่งที่อยากรอฟังผลการตรวจพิสูจน์และคำชี้แจงจากตำรวจกองพิสูจน์หลักฐานเช่นเดียวกับประชาชนท่านอื่นเหมือนกันค่ะ”
ด้านนายตระกูล วินิจนัยภาค อดีตอัยการสูงสุด เมื่อได้เห็นข้อความซึ่งเป็นเนื้อหาข่าวกรณีดังกล่าว จึงออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ตระกูล วินิจนัยภาค ซึ่งถึงกับใช้คำว่า ตกใจ พร้อมทั้งแนะนำถึงขั้นตอนการดำเนินการต่อไปนับจากนี้ หากตนเองยังเป็นอัยการสูงสุดว่าจะต้องทำอย่างไร ที่สำคัญกับการตั้งข้อสังเกตุให้สังคมชวนคิดติดตามต่อนั่นก็คือ ความไม่ชอบมาพากลของการดำเนินการในคดี
อย่างไรก็ตามเมื่อนายตระกูล ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวลงมา เพื่อเผยแพร่ออกไปสู่สาธารณะนั้น ก็ปรากฏว่ามีบุคคลเข้ามากดไลค์ถูกใจ ร่วมแชร์ข้อความ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้มีการแสดงความคิดเห็นในหลากหลายมุมมอง ซึ่งส่วนใหญ่แล้วล้วนมีคำถามในทิศทางที่สงสัยต่อการทำคดีของเจ้าหน้าที่ แต่กระนั้นก็มีความคิดเห็นหนึ่งที่ได้บอกเล่าถึงดร.กณิตา เป็นเนื้อหาที่บ่งบอกถึงวิถีชีวิตการทำงานของผู้หญิงคนนี้ได้เป็นอย่างดี จึงขอนำมาเผยแพร่ต่อดังนี้
Dulsit Snidvongs ผมเองเคยทำงานร่วมกับด๊อกเตอร์กุ้งมาแล้วหลายคดี ซึ่งสมัยนั้นทางตำรวจเองยังไม่สามารถทำเรื่อง DNA สัตว์ป่าได้เลย แล้วด๊อกเตอร์ก็จบพอดีเลยมาทำคดีเสือโคร่งให้ผมเป็นคดีแรก แล้วไม่ผิดหวังเลยจากที่ด๊อกเตอร์ทำให้ศาลยุติธรรมและอัยการเชื่อได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดสำเร็จ จึงทำให้จำเลยต้องรับโทษทัณฑ์เต็มที่คือ โดนยึดทรัพย์ทั้งหมด ปรับเป็นเงินแปดล้านบาท และจำคุก 8 ปี เรียกว่าเป็นโทษที่สูงสุดในคดีเกี่ยวกับสัตว์ป่าเลยนะครับ ด๊อกเตอร์กุ้งเก่งมากๆผมขอสนับสนุนและเชื่อถือได้นะครับ ขอเป็นกำลังใจให้นะครับด๊อกเตอร์
เมื่อทีมข่าว DeepsTnews ได้เข้าไปตรวจสอบที่เฟซบุ๊กของผู้ใช้ชื่อว่า Dulsit Snidvongs ก็พบว่ามีการโพสต์ข้อความต่อเนื่องเกี่ยวกับคดีนี้ไว้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งทำให้รู้ที่มาของคดีเสือโคร่ง ประการสำคัญทำให้สังคมคนไทยได้รู้จัก ดร.กณิตา หรือ ที่เรียกว่า ดอกเตอร์กุ้ง ขอนำเนื้อหาในข้อความมาเผยแพร่ต่อดังนี้
คดีนี้ที่เกิดที่ทุ่งใหญ่ผมเชื่อในความสามารถของด๊อกเตอร์กุ้งเพราะด๊อกเตอร์กล่าวตามความจริงตรงไปตรงมาไม่รับเงินใครๆนอกจากเงินเดือนของตนเองตามวิชาชีพที่ได้เรียนจบด๊อกเตอร์มาโดยตรงนะครับ
คดีนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดนครพนมที่ด๊อกเตอร์ทำงานให้ผมน่าจะเป็นคดีแรกที่สามารถทำให้ศาลยุติธรรมเอาผิดจำเลยในสถานหนักได้นะครับ ผมเชื่อมั่นในฝีมือของด๊อกเตอร์กุ้งนะครับ และสมัยนั้นตำรวจยังไม่สามารถดำเนินการเรื่อง DNA ของสัตว์ป่าได้เลยเอาแต่เผาซากทิ้งซึ่งเป็นการทำลายหลักฐานทั้งนั้นสมัยนั้นนะครับ แต่ด๊อกเตอร์สามารถทำการพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ทำให้ศาลท่านเชื้อในการพิสูจน์ครั้งนี้นะครับ สู้ๆๆๆๆด้วยความถูกต้องครับ
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Dulsit Snidvongs