- 22 พ.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
สืบเนื่องจาก พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 191 ร่วมกันจับกุมนายไพจิตร์ สายยา อายุ 40 ปี ประกอบอาชีพขับแท๊กซี่ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครพนม ในการอ้างชื่อไปหลอกลวงนายตำรวจระดับผู้บังคับการไปจนถึงสารวัตร จำนวน 6 นาย สังกัดตำรวจภูธรภาค 4 ว่าสามารถวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งข้าราชการตำรวจได้ จนทำให้นายตำรวจทั้ง 6 นายหลงเชื่อ นำเงินไปมอบให้รวม 4.3 ล้านบาท แต่สุดท้ายปรากฎว่าไม่สามารถดำเนินการได้ตามข้อกล่าวอ้าง
ล่าสุด พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้แถลงข่าวรายละเอียดเพิ่มเติม ระบุว่า เหตุกรณีดังกล่าวเกิดขึ้นประมาณปลายปี พ.ศ. 2557 โดยทางด้านนายไพจิตร์ สายยา ได้หลอกลวงผู้เสียหายรายที่ 1 โดยใช้โทรศัพท์และอ้างตัวเป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ(191) โดยได้พูดคุยกับผู้เสียหายรายที่ 1 เรื่อยมาจนกระทั่งกลางปี พ.ศ. 2560 ทำให้ผู้เสียหายรายที่ 1 หลงเชื่อโดยสนิทใจว่าบุคคลที่คุยด้วยนั้น
คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล จริง ต่อมาก่อนที่จะมีคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายประจำปี พ.ศ.2560 ผู้ต้องหาได้อ้างว่าตนสามารถ โยกย้ายให้ข้าราชการตำรวจ ระดับชั้นสัญญาบัตร ของรองผู้บังคับการถึงสารวัตร และระดับรองสารวัตรถึงระดับชั้นประทวน ไปดำรงตำแหน่งในระดับสูงขึ้นหรือย้ายไปอยู่ในพื้นที่ๆต้องการได้ ซึ่งผู้ต้องหาได้สั่งการให้ผู้เสียหาย รายที่ 1 เป็นผู้จัดหาข้าราชการตำรวจที่มีความต้องการโยกย้ายและรวบรวมค่าดำเนินการทั้งหมดมาไว้ที่บัญชีของผู้เสียหายรายที่ 1 ก่อนที่จะโอนเงินเข้าไปยังบัญชีของผู้ต้องหา โดยมีการตกลงกันระหว่างผู้ต้องหาและผู้เสียหายว่าจะต้องจ่ายเงินค่ามัดจำเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งก่อน ของแต่ละคนตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยมีมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 6 ราย ดังต่อไปนี้
1. ผู้เสียหายรายที่ 1 มูลค่าความเสียหาย 510,000 บาท
2 . ผู้เสียหายรายที่ 2 มูลค่าความเสียหาย 500,000 บาท
3. ผู้เสียหายรายที่ 3 มูลค่าความเสียหาย 2,500,000 บาท
4. ผู้เสียหายรายที่ 4 มูลค่าความเสียหาย 100,000 บาท
5. ผู้เสียหายรายที่ 5 มูลค่าความเสียหาย 500,000 บาท
6. ผู้เสียหายรายที่ 6 มูลค่าความเสียหาย 100,000 บาท
คลิกเพื่อชมคลิป...
จนกระทั่งเมื่อคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายทั้งสองมีผลแล้ว ปรากฏว่าผู้เสียหายทั้ง 6 ราย ไม่ได้โยกย้ายตามที่ตกลงกันไว้ ผู้เสียหายทั้ง 6 ราย จึงติดตามทวงถามไปยังผู้ต้องหา กลับได้คำตอบว่า ต้องรอคำสั่งในวาระหน้าจะดำเนินการให้ได้อย่างแน่นอน โดยไม่มีการคืนเงินทั้งหมดให้ผู้เสียหายแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ผู้เสียหายทั้ง 6 ราย เกิดความสงสัยในตัวผู้ต้องหาว่า เป็น พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล จริงหรือไม่ จึงได้มาแจ้งเรื่องราวร้องทุกข์ที่ สภ.ศรีสงคราม จ.นครพนม
จากนั้นหลังจากที่ผู้เสียหายได้เข้ามาให้ข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน จึงทำการสืบสวนจนทราบว่า คนร้ายได้ใช้บัญชีธนาคารออมสิน ชื่อบัญชี นายไพจิตร์ สายยา เลขที่บัญชี 020117110203 เพื่อใช้รับเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย ต่อมาจากการตรวจสอบข้อมูลทางการสืบสวน สามารถรวบรวมพยานหลักฐานมอบให้พนักงานสอบสวน ขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดนครพนม ตามหมายจับที่ จ.94/2561 ลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2561 ข้อหา “ ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ”และในส่วนความผิดส่วนบุคคล ซึ่งมี พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. เป็นผู้เสียหายในข้อหาพรบ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 มาตรา 14 “โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวงนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”
คลิกเพื่อชมคลิป...
กระทั่งท้ายสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนทำการสืบสวนจนทราบว่าผู้ต้องหาตามหมายจับพักอาศัยอยู่บริเวณ สุขไทยอพาร์ทเมนท์ ซอยอ่อนนุช 46 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จึงวางกำลังเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งพบผู้ต้องหาเดินออกมาจากที่พักจึงทำการจับกุมและตรวจค้นผู้ต้องหาพบของกลางที่ใช้ในการกระทำผิดและได้มาจากการกระทำความผิด ขณะที่ตำรวจทั้ง 6 นาย ที่ซื้อตำแหน่งจะถูกดำเนินคดีอาญา ข้อหาสนับสนุนให้ผู้อื่นกระทำความผิด พร้อมตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงซึ่งโทษหนักสุดถึงขั้นไล่ออก เนื่องจากความผิดถือว่าสำเร็จแล้ว
คลิกเพื่อชมคลิป...