บอกต่อเป็นธรรมทาน!!! เผย ๓ วิธี ชี้ทางคนทุกข์ ไม่ต้องพึ่งดวงชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์ ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้  ชีวิตดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

ทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำงานอะไร ฐานะไหน ยากดีมีจนอย่างไร ยังไงทุกคนก็ล้วนมีความทุกข์ในรูปแบบของตนเอง ทั้งยอมรับความทุกนั้นๆได้ และยอมรับไม่ได้จนต้องโทษฟ้าโทษดิน วันนี้เรามี ๓ วิธีแก้ทุก ที่ไม่ต้องพึ่งดวงชะตา ไม่ใช้คาถาใดๆ ก็แก้ความขัดสน ปัญหาเรื่องเงิน งาน ครอบครัวให้ทุกอย่างได้แล้ว และ ๓ สิ่งนั้นก็คือ "ทาน" ได้แก่ วัตถุทาน ธรรมทาน อภัยทาน นั้นเอง

 

 

๑. วัตถุทาน นั้นไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาก เอาที่ไม่เดือดร้อน จะรินน้ำสักแก้วให้ผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์ จะให้อาหารสัตว์ที่บ้าน จะหยอดตู้บริจาคหนึ่งสลึง จะใส่บาตร จะทำสังฆทาน ถือว่าเป็นบุญจากวัตถุทานทั้งสิ้น

 

๒. ธรรมทาน นั้นหมาย ความถึงการให้ความรู้ที่ถูกต้องเกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเป็นการอบรมสั่งสอนลูกๆ การทำงานประจำวันที่เราทำแบบทำงานเหมือนทำบุญ ทำงานด้วยความเต็มใจเต็มที่ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้อื่น หรือร่วมเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือ บทสวดมนต์ หนังสือที่มีความรู้ถือว่าเป็นธรรมทานทั้งสิ้นหรือสวดมนต์ทุกวัน เพราะการสวดมนต์ทุกครั้งนั้น นอกจากสร้างคลให้ตนเองแล้ว ทุกครั้งที่สวดจะมีพรหมเทพเทวา ดวงจิตวิญญาณที่อยู่บริเวณนั้นมาร่วมฟังธรรม ฟังคำสรรเสริญ ที่บูชาพระพุทธเจ้าด้วย

 

บอกต่อเป็นธรรมทาน!!! เผย ๓ วิธี ชี้ทางคนทุกข์ ไม่ต้องพึ่งดวงชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์ ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้  ชีวิตดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

 

๓. อภัยทาน นั้นจะทำง่ายหรือจะว่ายากที่สุดก็ได้เหมือนกัน เพราะถ้าเราโกรธปักใจหรืออาฆาตแค้นใคร มักจะให้อภัยยาก ครูบาอาจารย์ท่านสอนวิธีให้เราให้อภัยคนได้แบบง่ายต้องใช้พรหมวิหาร 4 เข้าช่วยคือ เริ่มจากเมตตา มากรุณา มามุติทา และถ้าไม่ไหวก็อุเบกขาคือ ปล่อยวางเสีย คิดว่าใครทำอะไรไว้คนนั้นต้องรับกรรมนั้นเอง ให้เริ่มจากคนที่ใกล้ตัวก่อน พ่อ แม่ ลูก พี่น้อง เพื่อน และขยายออกไปจะสำเร็จโดยง่าย

 

ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ทั้ง วัตถุทานธรรมทาน อภัยทาน สามารถทำได้ทุกวันง่ายๆ และทุกท่านที่ทำสม่ำเสมอ มากพอ นานพอ ก็จะพบกับ “ปาฏิหาริย์” ที่ท่านจะรู้ด้วยตัวเองทันที ขอให้ทุกท่านพบแต่ความสุข ความเจริญยิ่งขึ้นในทุกๆวัน

การให้ทานนั้นโดยจุดมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อเป็นการขจัดความโลภ ความตระหนี่เหนี่ยวแน่นความหวงแหนหลงไหลในทรัพย์สมบัติของตน อันเป็นกิเลสหยาบ คือ “โลภกิเลส”และเพื่อเป็นการสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขด้วยเมตตาธรรมของตนอันเป็นบันไดก้าวแรก ในการเจริญเมตตาในพรหมวิหาร ๔ ให้เกิดขึ้นถ้าได้ให้ทานด้วยเจตนาดังกล่าวแล้ว เรียกว่า เจตนาการในการทำทานบริสุทธิ์แต่ว่าเจตนาที่บริสุทธิ์นั้น ถ้าบริสุทธิ์จริงจะต้องสมบูรณ์พร้อมกัน ๓ ระยะ

 

การทำทาน ได้แก่การสละทรัพย์สิ่งของสมบัติของตนที่มีอยู่ให้แก่ผู้อื่น โดยมุ่งหวังจะจุนเจือให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์และความสุขด้วยความเมตตาจิตของตน ทานที่ได้ทำไปนั้นจะทำให้ผู้ทำทานได้บุญมากหรือน้อยเพียงใดย่อมสุดแล้วแต่องค์ประกอบ ๓ ประการต่อไปนี้แล้ว ทานนั้นย่อมมีผลมาก ได้บุญบารมีมาก กล่าวคือ

องค์ประกอบ ข้อ๑. “วัตถุทานที่ให้ต้องบริสุทธิ์” วัตถุทานที่ให้ ได้แก่สิ่งของทรัพย์สมบัติที่ตนได้สละให้เป็นทานนั้นเอง จะต้องเป็นของบริสุทธิ์ที่จะเป็นของบริสุทธิ์ได้จะต้องเป็นสิ่งของที่ตนได้แสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์ในการประกอบอาชีพไม่ใช่ของที่ได้มาเพราะการเบียดเบียนผู้อื่น เช่น ได้มาโดยทุจริต ลักทรัพย์ ยักยอกฉ้อโกง ปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ ฯลฯ

 

องค์ประกอบ ข้อ๒. “เจตนาให้ทานต้องบริสุทธิ์”

(๑) ระยะก่อนที่จะให้ทาน ก่อนจะให้ทานก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีที่จะให้ทานเพื่อสงเคราะห์ผู้อื่นให้ได้รับความสุขเพราะทรัพย์สิ่งของของตน 

(๒) ระยะที่กำลังลงมือให้ทาน ระยะที่กำลังลงมือทำทานอยู่นั้นเองก็ทำด้วยจิตโสมนัสร่าเริงยินดีและเบิกบานให้ทานที่ตนกำลังทำให้ผู้อื่น

(๓) ระยะหลังจากที่ได้ให้ทานไปแล้ว ครั้นเมื่อได้ให้ทานไปแล้วเสร็จ หลังจากนั้นก็ดีนานมาแล้วก็ดี เมื่อหวนคิดถึงทานที่ตนได้กระทำไปแล้วครั้งใดก็มีจิตโสมนัสร่าเริงเบิกบานยินดีในทานนั้นๆ

 

องค์ประกอบ ข้อ๓. “เนื้อนาบุญต้องบริสุทธิ์”

คำว่า”เนื้อนาบุญ”ในที่นี้ได้แก่บุคคลผู้รับการทำทานของผู้ทำทานนั้นเองนับเป็นองค์ประกอบข้อสำคัญที่สุด แม้ว่าองค์ประกอบในการทำทานข้อ ๑ และ ๒ จะงานบริสุทธิ์ครบถ้วนดีแล้วกล่าวคือวัตถุที่ทำทานนั้นเป็นของแสวงหาได้มาด้วยความบริสุทธิ์เจตนาในการทำทานก็งามพร้อมบริสุทธิ์ทั้งสามระยะ แต่ตัวผู้รับการทำทานเป็นคนที่ไม่ดี ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่บริสุทธิ์ เป็นเนื้อนาบุญที่เลว ทานที่ทำไปนั้นก็ไม่ผลิดอกออกผล

 

บอกต่อเป็นธรรมทาน!!! เผย ๓ วิธี ชี้ทางคนทุกข์ ไม่ต้องพึ่งดวงชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์ ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้  ชีวิตดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

 

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดีเจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื่อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้ คือ

 

๑. ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมีมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีลไม่มีธรรมเลยก็ตามทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีบุญวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

 

๒. ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มาถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๓. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้มาถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๔. ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะให้มาถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๕. ถวายทานแก่สามเณรผู้ที่มีศีล ๑๐ แม้จะให้มาถึง ๑๐๐ รั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่สมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฎิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

 

๖. ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมาถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายแก่พระโสดาบันแม้ว่าจะถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม (ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหันต์ผลแต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ใจความเท่านั้น)

 

๗. ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามีแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๘. ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามีแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๙. ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๑๐. ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าแม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๑๑. ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๑๒. ถวายทานแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้งก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธานแม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

 

๑๓. การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายวิหารทาน แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม วิหารทาน ได้แก่ การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรมศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นประโยชน์สาธารณะที่คนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน อนึ่ง การสร้างสิ่งที่เป็นสาธารณะประโยชน์ หรือสิ่งที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกันแม้จะไม่เกี่ยวเนื่องกับกิจในพระพุทธศาสนา เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน บ่อน้ำ แท๊งก์น้ำ ศาลาป้ายรถโดยสารประจำทาง สุสาน เมรุเผาศพ ก็ได้บุญมากในทำนองเดียวกัน

 

๑๔. การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง(๑๐๐หลัง)ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้ได้รู้ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจในมรรค ผล นิพพานให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรมรวมตลอดถึงการพิมพ์แจกหนังสือธรรมะ

 

๑๕. การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ “อภัยทาน” แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ “โทสกิเลส” และเป็นการเจริญ “เมตตาพรหมวิหารธรรม” อันเป็นพรหมวิหาร ๔ นั้นเป็นคุณธรรมที่องค์ธรรมของโยคีบุคคลที่บำเพ็ญฌาณและวิปัสสนา ผู้ที่ทรงพรหมวิหาร ๔ ได้ย่อมเป็นผู้ทรงฌาณ ซึ่งเมื่อเมตตาพรหมวิหารธรรมได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อใดก็ย่อมละเสียได้ซึ่ง “พยาบาท” ผู้นั้นจึงจะสามารถให้อภัยทานได้การให้อภัยทานจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและยากเย็นจึงจัดเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง

 

อย่างไรก็ดี การให้อภัยทานแม้จะมากเพียงใด แม้จะชนะให้ทานอื่นๆทั้งมวลผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า”ฝ่ายศีล”เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน

 

บอกต่อเป็นธรรมทาน!!! เผย ๓ วิธี ชี้ทางคนทุกข์ ไม่ต้องพึ่งดวงชะตา วิชาศักดิ์สิทธิ์ ก็สร้างปาฏิหาริย์ได้  ชีวิตดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ!!!

 

อานิสงส์ของการให้ทาน

ความเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นในคุณของพระรัตนตรัยโดยไม่เปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต และกระทำสักการบูชาอยู่เนืองๆไม่ทอดทิ้ง

 

อานิสงส์ที่ได้รับ คือ เป็นผู้ที่ไม่ประมาท มีสติดี เมื่อละโลกนี้ไปแล้วจะเกิดในเทวโลก แวดล้อมด้วนเหล่าบริวารคอยบำรุงบำเรออยู่ตลอดกาล จะได้เสวยสมบติเป็นทิพย์ ครั้นเมื่อจุติจากเทวโลกแล้วมาปฏิสนธิในมนุษยโลกจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิทวีปทั้ง ๔ คือ ชมพูทวีป อุตตกุรุทวีป อมรโคยานทวีป และปุพพวิเทหทวีป มีรัตนะทั้ง ๗ (สัญลักษณ์ของจักรพรรดิราช) คือ จักรแก้ว นางแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว และมณีแก้ว แม้ในอนาคตชาติก็จะได้เกิดอยู่แต่ในสุคติภูมิเป็นมนุษย์บ้าง เทวดาบ้าง และเป็นที่เคารพบูชาของมหาชน แม้เหล่าเทวดาก็ชื่นชมยินดียกย่องสรรเสริญ มีรูปกายงดงามสมส่วนเป็นสง่าน่าเกรงขาม มียศมากอำนาจมาก มีจิตตั้งมั่นไม่ฟุ้งซ่าน ไม่มีความสะดุ้งหวั่นไหว และจะได้บรรลุคุณวิเศษทั้งปวง

 

 

 


ขอบคุณข้อมูลจาก chonburipost