ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th

กลายเป็นเรื่องราวที่ฮือฮาอย่างหนักบนโลกโซเชียลอีกครั้ง เมื่อมีภาพของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันมีอายุ 86 ปี กับหญิงสาวรายหนึ่ง สวมชุดเข้าพิธีแต่งงาน ที่ถูกโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก “บ้านพลเอกชวลิต-อรทัย สรการ ยงใจยุทธ” และระบุข้อความว่า “สำคัญที่สุดสำหรับ เราใช้นามสกุล ”ยงใจยุทธ“ 19/พ.ค./2561”
 

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

 

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?


โดยภาพที่โพสต์เป็นภาพที่ทั้งสองจับมือกันอย่างชื่นมื่น ฝ่ายหญิงได้มอบพวงมาลัยให้บิ๊กจิ๋ว และสวมนาฬิกาคู่กันอีกด้วย ท่ามกลางเพื่อนสนิท ญาติๆ มาร่วมแสดงความยินดี ทั้งนี้หากย้อนไปดูในหน้าไทม์ไลน์จะเห็นว่ามีการโพสต์ภาพต่างๆ เกี่ยวกับ พล.อ.ชวลิต มาเป็นระยะๆ เช่น งานวันเกิดที่มีหญิงสาวคนดังกล่าวอยู่เคียงข้าง จนเป็นจุดสร้างความเซอร์ไพร์สให้กับสังคม ว่านอกจากอายุที่มากของพล.อ.ชวลิตแล้ว และสังคมก็ทราบกันดีว่า ก่อนหน้านี้ “บิ๊กจิ๋ว” มีภรรยาชื่อ “คุณหญิงหลุยส์ หรือคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ” โดยปัจจุบันคุณหญิงหลุยส์อายุ 79 ปี


สำหรับผู้หญิงที่ปรากฎข้างกายบิ๊กจิ๋ว สวมชุดแต่งงานอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการแต่งงานครั้งใหม่ ในวัย 86 ของบิ๊กจิ๋วนั้น ทราบชื่อว่า นางสาวอรทัย สรการ ยงใจยุทธ หรือ อรทัย สรการ หรือ เธียรอุทก ซึ่งเป็นบุตรสาวของ นายนิพนธ์ สรการ อายุ 53 ปี อดีตนายกกำนันผู้ใหญ่บ้านสุราษฎร์ธานี และอดีต สว. โดยมีคำยืนยันจากพล.ท.พิรัช สวามิวัศม์ หรือ “เสธ.หมึก” นายทหารคนสนิทของ พล.อ.ชวลิตร ผ่านสื่อ ระบุว่า "พล.อ.ชวลิต ได้หย่าขาดกับคุณหญิงหลุยส์ มานานแล้ว ก่อนจะแต่งงานใหม่ในครั้งนี้"


ทั้งนี้หากย้อนไปดูประวัติการทำงานของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ของประเทศไทย นั้น ผ่านการทำงานสงคราม เชี่ยวชาญในสนามรบมาอย่างมากมาย อีกทั้งในสนามการเมืองก็มีผลงานเด่นๆ ไม่แพ้กัน ตามข้อมูลในวิกิพีเดียระบุว่า 
 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

 

 

ภายหลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในพ.ศ. 2518 ด้วยชัยชนะของฝ่ายเวียดนามเหนือ และกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังออกจากภูมิภาคอินโดจีน ทำให้กองทัพเวียดนามเริ่มรุกรานประเทศกัมพูชา จนเกิดเป็นสงครามกัมพูชา-เวียดนามขึ้น และทำให้รัฐบาลเขมรแดงซึ่งมีจีนคอมมิวนิสต์หนุนหลังอยู่หมดอำนาจลง แต่กองกำลังของเขมรแดงนี้ได้ถอยร่นมาอยู่บริเวณภาคตะวันตกของกัมพูชา นอกจากนี้กองทัพเวียดนามยังมีการประกาศว่ามีศักยภาพที่จะยึดกรุงเทพได้ภายใน 2 ชั่วโมง ทำให้ไทยต้องตรึงกำลังทหารตลอดชายแดนไทย-กัมพูชา 

 


จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2528 กองทัพเวียดนามส่งทหารเข้าโจมตีกองกำลังเขมรแดงจนลึกเข้ามาถึงในอาณาเขตของไทย ทำให้เกิดการปะทะกับทหารไทยเป็นระยะๆ ประกอบกับกองทัพสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังจากประเทศไทยไปแล้ว ทำให้รัฐบาลไทยมีความวิตกกังวลในเรื่องการรับมือเวียดนามเป็นอันมาก

 


ในระหว่างนั้นรัฐบาลไทยได้ส่งคณะนายทหารจำนวนสามนายปฏิบัติราชการลับ ซึ่งประกอบด้วย พลโทผิน เกสร, พันเอกชวลิต ยงใจยุทธ และพันเอกพัฒน์ อัคนิบุตร เดินทางไปเจรจาความกับ "เติ้ง เสี่ยวผิง" ที่ประเทศจีน โดยจีนได้ตกลงที่จะเลิกให้ที่พักพิงกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และยังได้สนันสนุนยุทโธปกรณ์จำนวนหนึ่งให้แก่กองทัพไทยและตัดสินใจก่อสงครามกับเวียดนาม โดยพันเอกชวลิต ยงใจยุทธได้รับเกียรติจากกองทัพจีนให้ยิงปืนใหญ่นัดแรกจากกว่างซีเข้าสู่ดินแดนเวียดนาม ทำให้เวียดนามต้องถอนกำลังจากกัมพูชาเพื่อไปต้านการรุกรานจากจีน

 

ทางด้านงานการเมือง พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ได้เป็นผบ.ทบ. ตั้งแต่ปี 2529-2533 และควบตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารสูงสุดตั้งแต่ปี 2530 -2533 ซึ่งในช่วงนั้นถือว่าเป็นผู้ที่อำนาจและบทบาททางการเมืองอย่างยิ่ง ด้วยการเมืองยุคนั้นหลายคนเสนอให้เขาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ พล.อ.ชวลิต เลือกที่จะออกมาตั้งพรรคความหวังใหม่ และในช่วงพฤษภาทมิฬเขาก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ร่วมปราศรัยต่อต้านพล.อ.สุจินดา คราประยูร และในปี 2539 พรรคความหวังใหม่ก็ได้รับการเลือกตั้งมาเป็นอันดับหนึ่ง และเขาก็ได้เป็นนายกฯพรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคที่มีผู้สนับสนุนมากที่สุดในภาคอีสาน

 


ต่อมาเมื่อพรรคความหวังใหม่ชนะในการเลือกตั้งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2539 พล.อ.ชวลิต ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคจึงขึ้นดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี  แต่ต่อมาได้ลาออกเนื่องจากเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจในปี พ.ศ. 2540 ก่อนที่จะย้ายพรรคมาสังกัดพรรคไทยรักไทย ในปี พ.ศ. 2544 และพลเอกดร.ชวลิต ก็รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรสมัยแรกด้วย

 


หลังเหตุการณ์รัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 พล.อ.ชวลิต พยายามจะเป็นผู้เสนอตัวไกล่เกลี่ยทำความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้ที่ขับไล่ทักษิณ และกลุ่มผู้ที่สนับสนุนทักษิณ ให้ "สมานฉันท์" กัน โดยเรียกบทบาทตัวเองว่า "โซ่ข้อกลาง" รวมทั้งมีการข่าวว่าอาจจะเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน แต่แล้วตำแหน่งนี้ในที่สุดก็ตกเป็นของสมัคร สุนทรเวช


ในรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ พล.อ.ชวลิตได้เข้ารับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่เจรจากับฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยโดยเฉพาะ แต่หลังจากรับตำแหน่งเพียงไม่กี่วัน ก็เกิดเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ที่หน้าอาคารรัฐสภา พล.อ.ชวลิตก็ขอลาออกทันที


ในกลางปีพ.ศ. 2552 หลังจากถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในกรณีเหตุการณ์นองเลือดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม แล้วนั้น พลเอกชวลิตก็ได้สมัครเข้าสู่พรรคเพื่อไทย โดยให้เหตุผลว่าต้องการเข้ามาเพื่อสมานฉันท์ โดยไม่ต้องการเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร และหลังจากนั้นทางพรรคเพื่อไทยก็ได้มีมติให้เขาดำรงตำแหน่งประธานพรรค


วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553 พลเอกชวลิต ขึ้นเวทีของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ โดยประกาศตอนหนึ่งว่า นายวีระ นายแน่มาก และไม่เคยเห็นมหาชนที่ประกอบภารกิจที่ศักดิ์สิทธิ์ของแผ่นดิน และทำสำเร็จแล้ววันนี้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะทำอะไรอย่าไปสนใจ

 

ต่อมาในวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2554 ท่ามกลางข่าวลือที่มีมาช่วงระยะหนึ่ง พล.อ.ชวลิตก็ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคเพื่อไทย ทั้งนี้คนใกล้ชิดของ พล.อ.ชวลิตอ้างว่า พล.อ.ชวลิตไม่พอใจที่มีสมาชิกพรรคเพื่อไทยบางคนที่เข้าทำกิจกรรมร่วมกับทางแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือ กลุ่มคนเสื้อแดง และมีพฤติกรรมจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ก่อนหน้านั้นไม่นาน


ภายหลังรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 วันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เขากล่าวให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ระวังเกิดปฏิวัติซ้ำ ต่อมาในวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เขากล่าวตอนนึงว่า การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ทำให้เศรษฐกิจดีหรือไม่นั้นต้องไปถามประชาชนว่ากินอิ่ม นอนหลับหรือไม่ ถ้าหากประชาชนยังไม่มีกินก็ต้องไปแก้ปัญหาตรงนี้ ซึ่งนับเป็นปัญหาของทุกรัฐบาล ในขณะที่คุณหญิง พันธุ์เครือ ยงใจยุทธ แสดงความเห็นว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีความเคารพ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ

ส่วนด้านชีวิตรักนั้น พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เคยผ่านการสมรสมาด้วยกัน 3 ครั้ง และครั้งนี้ คือครั้งที่ 4 ที่ทำให้สังคมกำลังฮือฮา ตามข้อมูลวิกิพีเดีย ครั้งแรกสมรสกับวิภา ครั้งที่สองกับพิมพ์นิภา มนตรีอาภรณ์ (นามเดิม: ประเสริฐศรี จันทน์อาภรณ์) และสมรสครั้งที่สามกับคุณหญิงพันธุ์เครือ ยงใจยุทธ (ลิมปภมร) หรือ คุณหญิงหลุยส์ และครั้งล่าสุดกับนางสาวอรทัย สรการ ยงใจยุทธ หรือ อรทัย สรการ  พลเอกชวลิต มีบุตรทั้งหมด 3 คน กับภรรยาคนแรก คือ นายคฤกพล ยงใจยุทธ นางอรพิณ นพวงศ์ (ถึงแก่กรรม) และพันตำรวจตรีหญิง ศรีสุภางค์ โสมกุล

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

 

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

(ภาพจากเฟซบุ๊ก บ้านพลเอกชวลิต-อรทัย สรการยงใจยุทธ )

 

นอกจากนี้ในเฟซบุ๊กของนักข่าวสายทหารคนดัง อย่าง วาสนา นาน่วม ยังได้โพสต์คลิปย้อนเหตุการณ์เมื่อครั้งวันเกิดของพลเอกชวลิต ขณะที่มีนางสาวอรทัยเคียงข้าง ระบุข้อความว่า "ความหวังใหม่ !! และ ภริยาใหม่ ของ “บิ๊กจิ๋ว” ชมย้อนหลัง...เมื่อ 19 พค.2561 ที่ บิ๊กจิ๋ว และคุณอรทัย สรการ พบสื่อ.... ร้องเพลง “ความหวังใหม่”...คาดหลังหลังไปจดทะเบียนสมรสมา"

 

เปิดวาร์ป "บิ๊กจิ๋ว" อดีตผบ.ทบ.วัย 86 ตะลุยมาเจ็ดย่านน้ำ วันนี้เซอร์ไพร์ส ปล่อยภาพเทหัวใจให้สาวรายที่4...หลังหย่าขาด"คุณหญิงหลุยส์"!?

(ภาพ+คลิป จากเฟซบุ๊ก Wassana Nanuam)