- 06 ก.ย. 2561
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะเต่า เกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน และเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ ห้องประชุมบัวผุด ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นประธานการประชุม และมีนายโสภณ ทองดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561 กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จัดประชุมหารือแนวทางการดำเนินงานตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะเต่า เกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน และเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ณ ห้องประชุมบัวผุด ศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยมี นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานีเป็นประธานการประชุม และมีนายโสภณ ทองดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
การประชุมครั้งนี้ เป็นการซักซ้อมความเข้าใจและเตรียมการก่อนคำสั่งดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 โดยมีการเตรียมการทั้งเรื่องการประชาสัมพันธ์ การแก้ไขปัญหาน้ำเสีย การจัดระเบียบการ จอดเรือโดยการทิ้งสมอหรือทอดสมอ และการบูรณาการหน่วยงานร่วมปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานส่วนภูมิภาคที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้การดำเนินงานตามมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ในพื้นที่ 3 เกาะ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถระงับการกระทำ หรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันจะนำไปสู่การอนุรักษ์ แก้ไข หรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อทรัพยากรฯ ได้
ทช. ได้มีการเตรียมความพร้อม ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชนในพื้นที่ที่จะมีการบังคับใช้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่มีการประกาศคำสั่งดังกล่าว ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าวนั้นเป็นไปตามนโยบายของรัฐ โดยพลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ความสำคัญกับปัญหาขยะมูลฝอยและน้ำเสียทั้งทางบกและทะเลที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี จึงกำหนดให้การแก้ไขปัญหาดังกล่าวเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องเร่งดำเนินการ โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบริเวณ 3 เกาะดังกล่าวนั้นได้รับความเสียหายร้ายแรงจากกิจกรรมการใช้ประโยชน์ทางทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง หากไม่มีมาตรการคุ้มครอง ปล่อยให้ถูกทำลายต่อเนื่องจะยิ่งทำให้สิ่งแวดล้อมได้รับความเสียหาย จนไม่สามารถฟื้นฟูให้กลับคืนสู่สภาพเดิมให้อุดมสมบูรณ์ได้อีก ส่งผลกระทบต่อทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจภายในพื้นที่ และกระทบต่อภาพรวมของประเทศ
นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดี ทช. กล่าวว่า ปัจจุบันมีกิจกรรมการใช้ประโยชน์เกี่ยวกับทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่เกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย เป็นจำนวนมาก ทั้งการทิ้งสมอเรือ หรือทอดสมอเรือบริเวณแนวปะการัง รวมถึงการปล่อยและทิ้งน้ำเสีย ก่อสร้าง ขุดและถมดิน ปล่อยตะกอนดินลงสู่ทะเลและชายฝั่ง มีการบุกรุก ยึดถือ ครอบครองพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่ง ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศและสถานภาพความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง ทช.หน่วยงานภายใต้กำกับการดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) จึงได้อาศัยอำนาจ หน้าที่ ตามความในมาตรา 17 ประกอบมาตรา 3 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
พ.ศ.2558 ประกอบมาตรา 32 พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ออกมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง บริเวณพื้นที่ เกาะเต่า เกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน และเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2561 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธันวาคม 2561 เพื่อระงับการกระทำ หรือกิจกรรมที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อันเป็นการอนุรักษ์ หรือแก้ไข หรือบรรเทาความเสียหายที่เกิดขึ้น ต่อทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง
สำหรับกฎหมายที่ใช้ในการกำหนดมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งของทั้ง 3 เกาะ มีสาระสำคัญ 7 ข้อ ดังนี้
ข้อ 1 ห้ามจอดเรือโดยทิ้งสมอ หรือทอดสมอแนวปะการังในพื้นที่เกาะเต่า เกาะพะงัน อำเภอเกาะพะงัน และเกาะสมุย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในลักษณะที่ก่อให้เกิดอันตราย หรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง โดยให้จอดเรือโดยการผูกทุ่นจอดเรือในบริเวณที่มีทุ่นจอดเรือ
ข้อ 2 ห้ามให้อาหารสัตว์น้ำ ที่มีจุดมุ่งหมายที่ล่อ จับ ได้มา ค้นหา หรือเก็บสัตว์น้ำ
ข้อ 3 ห้ามเท ทิ้ง ระบายน้ำ ของเสีย น้ำเสีย ขยะมูลฝอย ลงสู่ทะเล
ข้อ 4 ห้ามดำเนินกิจกรรมเดินท่องเที่ยวใต้ทะเล (sea walker) หรือกิจกรรมใดๆ ที่มีผลกระทบต่อแนวปะการัง
ข้อ 5 การดำเนินการตามคำสั่งนี้มีให้ใช้บังคับกับการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครอง ฟื้นฟู อนุรักษ์ ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือเป็นการศึกษาวิจัยทางวิชาการ ซึ่งได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง หรือการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการดำเนินการอันเกี่ยวกับโครงการของรัฐ เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ หรือ การดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
ข้อ 6 ให้พนักงานเจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งพ.ศ. 2558 ดำเนินการภายใต้คำสั่งนี้ ตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ตามกฎหมายภายในท้องที่รับผิดชอบ
และข้อ 7 คำสั่งนี้ให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนดเก้าสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป โดยให้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลาสองปี
นายโสภณ ทองดี รองอธิบดี ทช. กล่าวว่า การออกมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เกาะเต่า เกาะพะงัน และเกาะสมุย เป็นความร่วมมือกันระหว่าง ทช. กับจังหวัดสุราษฎร์ธานี กองทัพภาคที่ 4 หน่วยงานทุกภาคส่วน รวมถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันผลักดันจนสำเร็จ พร้อมประกาศใช้กฎหมายอย่างจริงจังด้านการอนุรักษ์ และฟื้นฟู ระบบนิเวศทางทะเลและชายฝั่ง หลังจากมาตรการประกาศใช้แล้ว หวังว่าทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งบริเวณทั้ง 3 เกาะ จะกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ขณะเดียวกัน เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนช่วยกันรณรงค์ ประชาสัมพันธ์ ดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว หากผู้ใดที่กระทำการฝ่าฝีนก็จะมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดย ทช. ได้มอบหมายให้สำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 5 จังหวัดสุราษฎร์ธานีดำเนินการตรวจตราร่วมกับกองทัพภาคที่ 4 และจังหวัดสุราษฎร์ธานี ตรวจการปล่อยน้ำเสียลงทะเลอย่างเข้มงวด ซึ่งผู้ประกอบการโรงแรมและร้านอาหาร ของทั้ง 3 เกาะจะต้องเร่งปรับปรุงแก้ไขระบบบำบัดน้ำเสียของตนเองอย่างเร่งด่วน เมื่อมีการบังคับใช้แล้ว ทช.จะเข้าดำเนินการตามกฎหมาย