สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

ลิขิตฟ้าหรือจะสู่มานะตน คำนี้ยังคงใช้ได้ดีเสมอ ไม่ว่าชีวิตเราจะเกิดมายากดีมีจนยังไงก็ตา แต่ถ้าสู้ วันหนึ่งก็จะต้องประสบความสำเร็จ เหมือนกับหญิงสาวคนหนึ่ง ที่สู้ทำงานทุกอย่าง ส่งเสียให้ตัวเองได้เรียนหนังสือ ก่อนจะทดลองทำงานพริตตี้ และก้าวมาสู่วงการพิธีกรอาชีพ แม้จะลำบากแค่ไหนก็สู้ตาย จนได้ดีอย่างทุกวันนี้ 

 

โดยเธอเล่าเรื่องราวผ่านทางเว็บไซต์ชื่อดัง ระบุว่า "เท้าความก่อนว่า ก่อนที่เมย์จะเข้าสู่วงการนี้ เมย์เริ่มทำงานตั้งแต่อายุประมาณ 19 ปี เนื่องจากว่าต้องส่งตัวเองเรียนช่วงมหาวิทยาลัย จึงต้องหางานทำ ซึ่งก็ได้โอกาสลองทำงานหลายอย่าง 

ด้วยเหมือนเป็นจุดที่เรากำลังมองหางานที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะมีทั้งพนักงานร้านไอศครีมที่เจ๊งไปแล้วที่เซ็นทรัลลาดพร้าว พนักงานเดินตั๋วที่เมเจอร์รัชโยธิน พนักงานคีย์ข้อมูลที่ nursery ซ.เสือใหญ่ และก็พนักงานทำความสะอาด+ดูแลร้านอินเตอร์เน็ตที่ ซ.เสือใหญ่ ทั้งหมดนี้ในเวลาประมาณ 1 ปีค่ะ ซึ่งเมย์จะขอไม่พูดตรงส่วนนี้มาก เพราะเดี๋ยวจะยาว อยากจะเน้นเรื่องที่เมย์เข้าวงการงานอีเว้นท์ซะมากกว่า  เมย์เป็นคนที่ไม่เก่งเรื่องการเขียน เพียงแต่ต้องการอยากแชร์ประสบการณ์ ยังไงก็คิดซะว่าอ่านสนุกๆละกัน"


มาเริ่มกันเลย ย้อนกลับไปประมาณ 8 ปีก่อน ช่วงปี 54

สมัยนั้นเมย์ไม่รู้จักเลยว่าพริตตี้คืออะไร แต่มักจะเห็น banner โฆษณาตามเว็บต่างๆบ่อยๆว่า นวดโดยพริตตี้ พอคลิกเข้าไปดูมันก็จะมีแต่งานอย่างว่า ก็เลยเข้าใจว่าพริตตี้คือไซด์ไลน์ และร้านอินเตอร์เน็ตที่เมย์ทำงาน มักจะมีพี่พริตตี้สองคนชอบมาเล่นเกมส์ audition บ่อยๆ สวยมาก มาทีไรลูกค้าแทบทั้งร้านต้องหันไปมอง จำไม่ได้ว่าใครบอกเมย์แต่เค้าบอกว่าสองคนนี้ไม่ใช่พริตตี้พรีเซนท์สินค้า แต่เป็นพริตตี้ผับทำงานที่สิงคโปร์ พอเมย์ได้ยินแบบนั้นก็เลยงงๆ อะไรสินค้า อะไรผับ เราเข้าใจอะไรผิดรึเปล่า ? ก็เลยไปหาข้อมูลในเน็ตเพิ่มเติม สรุปว่าเราเข้าใจผิดมาตลอดเลย พริตตี้จริงๆคือเค้าต้องนำเสนอสินค้า หรือทำงานตามงานอีเว้นท์ ไม่ใช่งานอโคจรอย่างที่เราเข้าใจ พอรู้อย่างนั้นแล้วเมย์ก็ตาลุกวาวทันที เพราะจะได้แต่งตัวสวยๆ จะได้ใช้ทักษะภาษาที่ร่ำเรียนมา ที่สำคัญคือเงินดี และปากกัดตีนถีบอย่างเราจะไม่สนได้ไงล่ะจริงมั้ย

 

ก็เลยเริ่มหาข้อมูล จนไปเจอเว็บๆ นึงที่มักจะมีการประกาศงานหาพริตตี้เอ็มซีบ่อยๆ โดยเราต้องส่งโปรไฟล์ผ่านอีเมล์หรือบีบี แต่สมัยนั้นเมยไม่มีปัญญาซื้อบีบี เพราะฉะนั้นก็มีอยู่ทางเดียวคือส่งอีเมล์ แต่ปัญหาก็คือเค้าให้ระบุประสบการณ์และส่งภาพงานที่เราเคยทำไปด้วย ซึ่งเมย์ไม่มีเลย ทำไงล่ะ ? ก็เลยเอาเงินที่เราพอจะมี ไปถ่ายภาพที่สตูดิโอเล็กๆ เสื้อผ้าสวยๆก็ไม่มี แต่งหน้าก็ไม่เป็น แต่ใจมันไปแล้วอ่ะ เพราะฉะนั้นมีอะไรก็แต่งๆไปก่อน ไม่ได้เก็บรูปไว้ แต่จำได้ว่าเป็นชุดเอี๊ยมกระโปรงน่ารักๆ ประสบการณ์ก็ไม่มี รูปก็กะโหลกกะลา คาดหวังแค่ว่าความสามารถทางด้านภาษาของเราคงจะพอช่วยได้ ก็ส่งไปและผ่านเฉย แต่ในที่นี้หมายถึงผ่านเข้าไปแคสนะคะ ยังไม่ได้งาน

 

พอไปแคสงานแรก เป็นการเปิดโลกทัศน์มาก มีแต่คนสวยๆ แต่งตัวเซ็กซี่ๆ เราเหมือนเด็กน้อยหลงทาง รูปที่ส่งไปใส่ชุดไหน มาแคสก็ใส่ชุดนั้นเลย ก็ทั้งตู้เสื้อผ้าที่พอจะดูดีก็มีมันอยู่ชุดเดียวอ่ะให้ทำไง พอไปถึงเค้าก็ให้เขียนรายละเอียดใส่กระดาษเหมือนสมัครงานทั่วไป และเรียกไปยืนเรียงให้แนะนำตัว ประมาณนี้ วินาทีที่เดินเข้าไปถึงหน้างานรู้เลยว่ายังไงก็ไม่ได้งาน แต่เราก็ต้องเริ่มจากจุดใดจุดนึงถูกมั้ย ยังไม่มีประสบการณ์ ก็ต้องสร้างก่อน ต้องขยันไปแคสงานบ่อยๆ และภาวนาให้มีซักงานที่จะให้โอกาสเรา

การเป็นพริตตี้ไม่ใช่สิ่งที่เมย์ชอบเลย ทนทำไปเพราะเงินล้วนๆ ที่ไม่ชอบเพราะงานส่วนใหญ่ที่ได้รับมักจะบังคับให้เราใส่ชุดโชว์เรือนร่าง ไม่ชอบสายตาดูถูกที่เรามักได้รับเวลาทำงาน บวกกับเมย์ยืนนานๆบนส้นสูงไม่ไหว และที่สำคัญเรารู้ตัวว่าเราไม่สวยระดับพริตตี้ มันไม่มีความมั่นใจเอาซะเลย แต่สำหรับใครที่อาจจะมีอคติกับอาชีพนี้ อยากจะให้ลองเปิดใจและมองอีกมุม เพราะอาชีพนี้เค้าไม่สามารถตัดสินใจเองได้ว่าต้องแต่งตัวแบบไหน แล้วแต่ลูกค้าจริงๆค่ะ และที่สำคัญคือต้องยืนยิ้มตลอดเวลา มันเมื่อยทั้งหน้าเมื่อยทั้งเท้าและลามไปถึงจิตใจ เพราะบ่อยครั้งก็มักจะเจอลูกค้าที่ทำให้เค้าไม่รู้สึกภูมิใจในหน้าที่การงานด้านนี้ซักเท่าไหร่ การให้เกียรติกันเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงมีนะคะ


สมัยเป็นพริตตี้ จำไม่ได้แล้วว่างานแรกคืองานอะไรกันแน่ แต่ที่จำได้แม่นคือช่วงนั้นรับหลายงานมาก เพราะเรายังไม่มีคอนเนคชั่น จะให้รองานพริตตี้อย่างเดียวก็คงอดตายพอดี เพราะฉะนั้นมีอะไรเข้ามาเราก็รับไว้ก่อน ทั้ง Staff, Supervisor, Mascot (ส่วนตัวเมย์ชอบงานนี้มาก เมื่อก่อนทำให้ slim up center บ่อยๆ แต่งเป็นลูกหมีแพนด้า ), Pretty และก็มาเป็น Dancer

 

นอกเหนือจากการเป็น Mascot แล้ว Dancer เป็นอีกงานที่เมย์ชอบมาก ... เมย์ได้ค้นพบว่าตัวเองชอบเต้นก็ตั้งแต่เพลง Tell me ของ Wonder Girls ดังสมัยเมย์อยู่ ม.5-6 ... พอมาเข้าวงการนี้ เมย์ก็เลยอยากลองทำงานด้านนี้ดูบ้าง ทำเพราะความชอบล้วนๆ แต่ไม่ได้เก่งอะไรเลย แค่พอเต้นได้ ทำไปได้ซักพักก็หยุด เพราะเพื่อนในทีมส่วนใหญ่ก็รับงานพริตตี้เอ็มซี ไม่ได้รับงานเต้นเป็นหลัก จึงไม่ค่อยจริงจังกันมากนัก และจึงได้ล้มเลิกไปในที่สุด

 


สมัยเป็นแดนเซอร์ ปี 54 เป็นปีของการเรียนรู้ เป็นปีของการกระยิ้มกระสนมากกว่าทุกๆปีในช่วงนั้น เป็นปีของการค้นหาว่างานไหนที่เราชอบและเหมาะกับเรา ปีนั้นเมย์ก็ลองทำหลายอย่างมากอย่างที่ได้กล่าวมา ซึ่งเมย์ก็ได้ค้นพบว่าเมย์ชอบเต้นมากที่สุด แต่จะทำยังไงล่ะเพราะเหมือนมาทางนี้แล้วจะไม่รุ่ง ก็เลยมองหาทางอื่นเสริม ซึ่งอย่างนึงที่เมย์ยังไม่เคยลองและตอนนั้นไม่เคยคิดจะลองเลยก็คือการเป็น MC เพราะเมย์เป็นคนเงียบ พูดไม่เก่ง แถมขี้อาย แต่ด้วยเม็ดเงินที่ MC ได้รับนั้นมันเยอะกว่าทุกอย่างที่เมย์เคยทำมา เพราะฉะนั้นก็ต้องบอกเลยว่าที่มาถึงทุกวันนี้ได้เพราะความลำบากและเงินเป็นจุดนำล้วนๆค่ะ 

 

เมย์เริ่มทำงาน MC ตั้งแต่ปี 55 และก็ทำมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน แต่ปีแรกๆที่ทำก็ทำงานอื่นควบคู่กันไปด้วย ยังไม่ได้ทิ้งงาน Pretty และ Dancer ซะทีเดียว แต่มารับงาน MC พิธีกรแบบจริงจังก็น่าจะตั้งแต่ปี 57  เพราะเราเริ่มมีคอนเนคชั่น งานเริ่มเข้ามามากขึ้น รายได้มีความเสถียรมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจรับงานพิธีกรอย่างเป็นทางการตั้งแต่นั้นมา

 


สมัยเป็นเอ็มซีแรกๆ

 

ก่อนที่จะเล่าเพิ่มเกี่ยวกับประสบการณ์ในการเป็น MC พิธีกร หลายๆคนที่อาจจะไม่ได้อยู่ในวงการนี้อาจจะงงๆว่าตกลงสองคำนี้มันต่างกันยังไง เมย์ขออนุญาตอธิบายโดยคร่าวดังนี้นะคะ

-MC ย่อมาจาก Master of Ceremony แปลว่า นายพิธี หรือก็คือพิธีกรนั่นเอง
- แต่บางครั้ง MC สำหรับประเทศตะวันตก มันสามารถแปลว่า Rapper ได้ด้วยนะ
- ต่างชาติจึงนิยมเขียนอาชีพพิธีกรว่า Emcee มากกว่า เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน

 

แต่ในประเทศไทย คนในวงการเค้าแยกระหว่าง MC กับ พิธีกร ถึงแม้ในภาษาอังกฤษมันจะแปลว่าพิธีกรก็ตาม แต่สำหรับบ้านเรา
-MC/เอ็มซี คือคนโฟนขายหรือนำเสนอสินค้า
- พิธีกร โฟนเหมือนกัน แต่อยู่บนเวที
ซึ่งวิธีการพูดก็จะแตกต่างกัน
- อย่าง MC สำเนียงการพูดก็จะออกแนวเน้นนำเสนอสินค้าที่เรามักจะได้ยินกันบ่อยๆตามห้าง
- พิธีกร สำเนียงการพูดจะเน้นพูดช้ากว่า ไม่ค่อยใช้วลีแบบเอ็มซี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่สไตล์ของแต่ละคน

 

โฟน = ประชาสัมพันธ์ / พูดออกไมค์

ประมาณนี้นะคะ ถ้าอธิบายไม่เข้าใจอย่างไรต้องขออภัยด้วยค่ะ


MCงานแรกของเมย์เป็นงานสองภาษา คือโฟนเป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ สำหรับแบรนด์ชุดชั้นในสุภาพสตรีชั้นนำแบรนด์นึงที่ไม่ใช่แบรนด์ไทย ที่ฝั่งโตคิวห้าง MBK จำได้แม่นเลย เพราะเฟวมาก หน้าที่ของเมย์คือต้องแนะนำชุดชั้นในแต่ละรุ่น รวมไปถึงแจ้งโปรโมชั่นให้ลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ทราบ ประเด็นคือไม่เคยมีประสบการณ์ด้านนี้เลยโดยตรง

 

แถมต้องแปลกลับไปกลับมาเป็นสองภาษา ข้อมูลของแต่ละรุ่นก็เยอะมาก และ! ไม่มีสคริปท์ค่ะคุณ!!! จดและจำเอาเองล้วนๆ ก็จะออกแนวงงๆ ว่าเอ๊ะ รุ่นนี้อะไรนะ? อ๋อ โอเค ก็จะสตั๊นไปสี่ห้าวิเพื่อนึกข้อมูล และมักจะพูดวกไปวนมาเพราะหาทางลงไม่เจอ ผลสรุปคือวันนั้นไม่ได้ค่าตัวค่ะ ซึ่งเราก็โอเค เพราะเรารู้ดีว่าเราพลาด แต่พี่ที่ให้งานเราก็น่ารักนะ ยังใจดีให้ค่ารถเรากลับบ้าน ขอบคุณมากๆค่ะ พี่คือคนแรกที่ให้โอกาสเมย์ในการทำงานด้านนี้ ไม่มีพี่วันนั้น ไม่มีเมย์ในวันนี้แน่นอน 

 

แรกๆก็รับเฉพาะงานเล็กๆ ส่วนใหญ่ก็งานนำเสนอสินค้า งานขายสินค้านี่แหละ บางงานเมย์ไปเป็นพริตตี้ แต่พอพี่เอ็มซีเค้าพักเราก็ขอโฟนให้ฟรี เป็นการฝึกไปในตัว คือพอโดนด่างานแรก ความกล้าในการจับไมค์มันก็มาจากไหนไม่รู้  แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะคนเราจะฉลาดได้ก็ต้องโง่มาก่อน จะมีประสบการณ์ได้ก็ต้องไขว่คว้าหาโอกาส

 

ทำไปได้ซักพัก เมย์ก็ค้นพบว่าตัวเองไม่ถนัดงานฮาร์ดเซลเอาซะเลย ไม่ถนัดทำยอดขาย ไม่ถนัดพูดเร็ว คือเสียงและความเร็วในการพูดสู้บูธข้างๆไม่ได้เลย พี่ทีมงานหลายๆ ที่ก็มักจะบอกกับเราว่าน้ำเสียงแบบนี้น่าจะลองไปทำงานพิธีกร และด้วยช่วงนั้นเราก็พอมีประสบการณ์ ความมั่นใจมันก็เพิ่มขึ้น จึงลองรับงานพิธีกรตามงานอีเว้นท์ งานพิธีกรที่เป็นงานทางการและกึ่งทางการดูบ้าง ซึ่งพอได้ลองแล้วเมย์ชอบมาก คือไม่คิดมาก่อนว่างานพิธีกรจะเป็นงานที่เหมาะกับตัวเอง เพราะอย่างที่บอกว่าแต่เดิมเมย์เป็นคนขี้อาย แต่เวลาทำงานเมย์มีความมั่นใจขึ้นมาทันที ต้องขอบคุณความลำบากที่ทำให้เมย์มาถึงจุดนี้ บางทีอะไรที่เราไม่เคยลองหรือไม่เคยคิดจะลอง มันก็อาจจะทำให้เราได้ค้นพบอีกด้านนึงของตัวเองที่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมี 

 

สำหรับใครที่อยากลองเข้ามาทำงานในวงการนี้ หรือเพิ่งเริ่มทำ ขอให้ใจเย็นๆ ทุกๆอย่างต้องใช้เวลา และด้วยความที่คู่แข่งเพิ่มมากขึ้นตลอดเวลา เราจะต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ เมย์ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ และคำแนะนำของใครก็ไม่ดีเท่ากับเราประสบเอง เพราะคนเรามีวิธีการแก้ปัญหาและเผชิญหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่อย่างนึงที่เมย์อยากจะแนะนำเป็นพิเศษก็คือ ก่อนไปถึงหน้างาน ให้ทานข้าวให้เรียบร้อย ให้พกน้ำเปล่า ปากกา/highlighter และเพลทสคริปท์ไปเองเสมอๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าหน้างานเค้าจะมีอะไรให้เราทานมั้ย หรือเค้าจะยุ่งกันขนาดไหน แต่ที่แน่ๆเราควรจัดการตัวเองให้เรียบร้อยโดยที่ไม่ต้องหวังพึ่งใครหน้างาน เป็นจุดเล็กๆที่จะทำให้เราสามารถทำงานได้ราบรื่นขึ้นและดูมืออาชีพขึ้นด้วยค่ะ 


ปัจจุบันเมย์ยังคงเป็นฟรีแลนซ์ ที่ทำงานพิธีกรสองภาษาแบบฟูลล์ไทม์ และก็กำลังเรียนภาษาฝรั่งเศสเพิ่ม เพื่อคาดหวังว่าจะสามารถเพิ่มทักษะของตัวเองและนำไปใช้ในหน้าที่การงานได้ไม่มากก็น้อยในอนาคต หวังว่าโพสต์นี้คงไม่น่าเบื่อจนเกินไป ขอบคุณทุกๆคนที่ให้เกียรติเข้ามาอ่านนะคะ ขอให้ปีหมูปีนี้เป็นปีที่ดีของทุกๆคนค่ะ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

สาวสู้ชีวิต ทำงานส่งตัวเองเรียนจนจบ ผันตัวจากพริตตี้กลายมาเป็นพิธีกรมืออาชีพ

 

ขอบคุณเว็บไซต์ : pantip.com

ต้นโพสต์ : จากพริตตี้สู่อาชีพพิธีกรมืออาชีพ