แม่วัย 21 ปี ยังคาใจถูกรพ.ดังให้สามีขี่จยย.พาไปคลอดที่อื่น

จากกรณีที่ น.ส.จินดารัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และนายบอย (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ได้ติดใจการให้การรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.จินดารัตน์ เกิดอาการปวดท้องใกล้คลอดและเดินทางไปรักษาเนื่องจากฝากท้องไว้ที่นี่ รพ.แห่งนี้ ปรากฏว่า ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าลูกมีอายุครรภ์เพียง 33 สัปดาห์ จึงถือว่ามีความเสี่ยงเพราะยังไม่ได้กำหนดคลอด ต้องใช้ตู้อบ ซึ่งรพ.มีไม่เพียงพอ และปากช่องคลอดของมารดาก็ยังไม่พร้อมคลอดจึงต้องนอนรอ กระทั่งรู้สึกเจ็บท้องมากและมีเลือดไหลออกทางช่องคลอด ทาง รพ.จึงแจ้งว่าจะส่งตัวไปรักษาต่อที่อีกรพ. ซึ่งจะทำใบส่งตัวให้

จากกรณีที่ น.ส.จินดารัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 21 ปี และนายบอย (สงวนนามสกุล) อายุ 25 ปี ได้ติดใจการให้การรักษาพยาบาลของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน จ.ชลบุรี เนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.จินดารัตน์ เกิดอาการปวดท้องใกล้คลอดและเดินทางไปรักษาเนื่องจากฝากท้องไว้ที่นี่ รพ.แห่งนี้ ปรากฏว่า ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าลูกมีอายุครรภ์เพียง 33 สัปดาห์ จึงถือว่ามีความเสี่ยงเพราะยังไม่ได้กำหนดคลอด ต้องใช้ตู้อบ ซึ่งรพ.มีไม่เพียงพอ และปากช่องคลอดของมารดาก็ยังไม่พร้อมคลอดจึงต้องนอนรอ กระทั่งรู้สึกเจ็บท้องมากและมีเลือดไหลออกทางช่องคลอด ทาง รพ.จึงแจ้งว่าจะส่งตัวไปรักษาต่อที่อีกรพ. ซึ่งจะทำใบส่งตัวให้
 

 

แต่ทางโรงพยาบาลไม่ยอมจัดรถไปส่งแต่กลับให้สามีพาขี่มอเตอร์ไซค์ไปเองจนสุดท้ายลูกก็เสียชีวิต โดยแพทย์แจ้งว่าที่เด็กเสียชีวิตเพราะเลือดในน้ำคร่ําไหลออกเกิน 40 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เด็กขาดออกซิเจน แต่ทางแพทย์ก็ไม่แนะนำให้มีบุตรได้อีกเนื่องจากแม่มีความดันสูงและครรภ์เป็นพิษ เหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น สองสามีภรรยารู้สึกติดใจกับโรงพยาบาลดังกล่าวเป็นอย่างมากว่าทำไมไม่ทำเรื่องส่งตัวในการย้ายโรงพยาบาล ทั้งที่เห็นว่ามีอาการหนัก มีเลือดไหลมาก แต่กลับให้ขี่จยย.ย้ายโรงพยาบาลเอง
 

 

ล่าสุด ทางโรงพยาบาลดัง ที่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี ได้เชิญตัว น.ส.จินดารัตน์และนายบอย พ่อแม่ของเด็กมาอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมรับฟัง พร้อมแจ้งว่าเป็นการพูดคุยภายในโดยมีแพทย์เวรและเจ้าหน้าที่บางส่วนเข้าร่วมพูดคุย เวลาการพูดคุยผ่านไปกว่า 2 ชม.


น.ส.จินดารัตน์ ก็ออกมาแจ้งว่าบุตรที่เสียชีวิตเป็นคนที่ 2 คนแรกก็คลอดที่ รพ.แห่งนี้และก็มีสุขภาพดี แต่วันเกิดเหตุนั้นตัวเองรู้สึกปวดท้องหนักมาก ขณะที่การอธิบายของ รพ.ก็แจ้งว่ายังไม่ถึงกำหนดคลอด เพราะมดลูกยังเปิดปากช่องคลอดไม่ถึงกำหนด อีกทั้งครรภ์มีอายุน้อย ซึ่งเฉลี่ยแล้ว 33 สัปดาห์ควรจะมีน้ำหนักตัว 1.7 กก.แต่เด็กในครรภ์มีน้ำหนักเพียง 1.3 กก. เท่านั้น จึงถือว่ามีความเสี่ยง ก่อนจะแจ้งให้ไปรักษาต่อที่อีกรพ.ที่มีใบประกันสังคมอยู่ แต่สุดท้ายลูกก็เสียชีวิต

 

แม่วัย 21 ปี ยังคาใจถูกรพ.ดังให้สามีขี่จยย.พาไปคลอดที่อื่น


โดยทาง รพ.แจ้งแค่รู้สึกเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและผิดพลาดเรื่องของระบบการส่งตัวคนไข้ โดยแจ้งว่าจะปรับปรุงและพร้อมจะให้การช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ทราบได้ว่าจะช่วยอย่างไรเพราะเสียลูกไปทั้งคน ส่วนที่ติดใจนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่ลูกเสียชีวิตเพราะเข้าใจขั้นตอนทางการแพทย์ แต่ทำไมทั้งๆ ที่เจ็บหนักขนาดนี้จึงปล่อยให้ไปกันเองโดยลำพัง และการพูดจาของทาง รพ.ก็ไม่ดีกับคนไข้เลย

นอกจากนี้ทาง รพ.ได้แจ้งว่า "วันเกิดเหตุแม่ของเด็กปวดท้องก็นำส่งเข้าห้องฉุกเฉิน แต่ตรวจแล้วพบว่าปากมดลูกยังไม่เปิด หรือไม่พร้อม เนื่องจากเป็นการคลอดก่อนกำหนด ที่สำคัญ รพ.มีตู้อบเด็กเพียง 4 ตู้ที่ใช้งานจนหมดแล้วเกรงว่าจะเกิดปัญหาเนื่องจากเด็กตัวเล็กมาก จึงให้นอนพักรอเพื่อให้ถึงเวลา"

 

"แต่แม่เด็กทนไม่ไหวและแจ้งว่ามีเลือดไหลออกตลอดเวลา ทางพยาบาลเวรจึงแจ้งให้รีบไปรักษาต่ออีกรพ.ซึ่งมีอุปกรณ์พร้อมมากกว่า แต่ก็ยอมรับว่าอาจมีความผิดพลาดเรื่องของระบบการส่งตัวคนไข้ และการอธิบายของพยาบาลซึ่งได้เรียกมาพูดคุยแล้ว โดยทาง รพ.ก็ยินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และจะให้ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาแถลงข่าวชี้แจงข้อเท็จจริงให้รับทราบอีกครั้งหนึ่ง"


ขอบคุณ sanook.com