แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

ล่าสุดทางด้านน.ส.อิงอร กลิ่นชื่น อายุ 18 ปี ชาว จ.ตรัง ได้อุ้มเด็กชายวัย 1 ขวบ 8 เดือนนั่งรถแท็กซี่เดินทางจากจ.ตรัง มาถึงสภ.เมืองสุราษฎร์ธานี

จากกรณีที่ศูนย์วิทยุ 191 สุราษฎร์ธานี รับแจ้งเหตุมีผู้ถูกวางยาแล้วลักตัวเด็กทารกไป เหตุเกิดบนถนนชนเกษมขาออกเมือง ใกล้ห้างสรรพสินค้าแม็คโคร เขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี และผู้เสียหายรอพบเจ้าหน้าที่อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุที่บริเวณปากซอยเสม็ดเรียง 22 ไป ประมาณ 1 กิโลเมตร จึงแจ้งให้ ร.ต.อ.อรรถพล สุวรรณมณี ร้อยเวรป้องกันปราบปราม สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เข้าตรวจสอบ

 

ในที่เกิดเหตุพบน.ส.ศศิธร ชูจิต อายุ 30 ปี นั่งอยู่ในรถยนต์เก๋งฮอนด้า สภาพสะลึมสะลือ เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลาพูดคุยเป็นเวลานานและต่อมาได้มีนายณัฐวุฒิ ภูเขาทอง อายุ 32 ปี สามี เดินทางมาพบเจ้าหน้าที่ 

โดยน.ส.ศศิธร ชูจิต เปิดเผยว่าเมื่อช่วงเช้า ตนได้เข้ารับอบรมงาน ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ริมถนนบายพาส โดยได้พาลูกชายไปด้วย และหลังจากเลิกงานอบรม ได้ฝากลูกชาย อายุ 1 เดือน 8 วัน ไว้กับหัวหน้างาน เพื่อออกไปเอารถยนต์จากสามีซึ่งทำงานเป็นพนักงานขายโทรศัพท์มือถือในตัวเมือง โดยมีเพื่อนร่วมงานขับรถจักรยานยนต์มาส่ง

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

 

ภายหลังจากรับรถจากสามีแล้ว หัวหน้างาน ได้โทรมาบอกว่า จะ ออกไปทำธุระข้างนอกโดยพาลูกของตนไปด้วยและได้นัดให้ตนมารับลูกที่ริมถนนชนเกษม บริเวณหน้าห้างแม็คโคร หลังจากที่ตนรับลูกมาแล้ว และกำลังเอาไปวางที่เบาะนั่งด้านหน้า ก็ได้มีผู้หญิงคนหนึ่งรูปร่างท้วมมาขออุ้มลูก ซึ่งตนก็ให้อุ้ม โดยระหว่างนั้นรู้สึกว่าผู้หญิงคนดังกล่าวมาแตะที่ตัว ก่อนส่งตัวบุตรชายให้คืน

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

 

ตนเองจำได้ว่า ได้รับตัวลูกชายเอาเข้ามาไว้ที่เบาะรถแล้ว และยังไลน์ไปบอกสามีว่ามีคนมาขออุ้มลูก และรู้สึกวูบวาบตามตัว จนกระทั่งมาถึงหน้าปากซอยชนเกษม 22 ตนได้ยินเสียงโทรศัพท์จากเครื่องของออฟฟิต ก็พบว่าสามีเป็นคนโทรเข้ามา และบอกว่าติดต่อมือถือส่วนตัวของตนไม่ได้ และเมื่อตนหันไปมองกลับไม่พบตัวบุตรชาย นอกจากนั้นยังพบว่าโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง และกระเป๋าสะพายภายในมีเงิน 4,000 บาท ได้หายไปด้วย จึงได้รีบแจ้งให้สามีทราบ ก่อนจะแจ้งให้ตำรวจทราบดังกล่าว

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

 


ต่อมาได้มีผู้หญิงคนหนึ่งโทรมาหาสามีของน.ส.ศศิธรตามเบอร์ที่โพสต์ลงไปในเฟซบุ๊ก โดยบอกว่ามาแจ้งความทำไมในเมื่อตกลงกันแล้วและเด็กก็เป็นลูกของตนที่นำมาฝากเลี้ยงไว้ ขณะนี้ได้นำกลับมาถึงจังหวัดตรังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  โดยขณะนี้ชุดสืบสวนภูธรจังหวัดสุราษฎร์ธานีและสืบสวนสถานีตำรวจเมืองสุราษฎร์ธานียังคงร่วมกันสอบหาข้อเท็จจริงเพื่อคลี่คลายคดีต่อไป รวมไปถึงประสานขอตรวจสอบกล้องวงจรปิด เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกด้วย 

 

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย


อ่านข่าว : ยังไงกันล่ะเนี่ย!!! สาวฉกเด็กโทรหาแม่เองเลย จวกกลับฟ้องตร.โดนขโมยลูกทำไม ตกลงแล้วแค่ฝากเลี้ยง
 

ล่าสุดทางด้านน.ส.อิงอร กลิ่นชื่น อายุ 18 ปี ชาว จ.ตรัง ได้อุ้มเด็กชายวัย 1 ขวบ 8 เดือนนั่งรถแท็กซี่เดินทางจากจ.ตรัง มาถึงสภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เข้าพบพนักงานสอบสวน เพื่อให้ปากคำตามที่ตำรวจ สภ.กันตัง จ.ตรัง ประสานส่งตัวมา โดยมีเจ้าหน้าที่บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมรับฟังด้วยและน.ส.อิงอรได้นำหลักฐานใบสูติบัตรแจ้งเกิดมายืนยันความเป็นมารดาและบุตรชาย

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

 


น.ส.อิงอร ให้การว่า เด็กชายคนนี้เป็นบุตรของตนเอง และเรื่องป้ายยา น.ส.ศศิธร จนสะลึมสะลือไม่เป็นความจริงแต่ได้มีการนัดแนะมาดูบุตรชายก่อนที่จะรับตัวกลับไป จ.ตรัง ซึ่งการที่เดินทางมา สภ.เมืองสุราษฎร์ธานีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่าเป็นมารดาโดยมีหลักฐานการแจ้งเกิดและหลักฐานการคุยกับน.ส.ศศิธรผ่านทางแชทไลน์มาแสดงต่อหน้าเจ้าหน้าตำรวจ

 

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย


ก่อนหน้าที่ น.ส.อิงอร จะนำเด็กชายเดินทางมาถึง สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ น.ส.ศศิธรรับสารภาพว่า เด็กชายคนนี้ไม่ใช่บุตรที่แท้จริง ก่อนหน้าที่ น.ส.อิงอร จะนำเด็กชายเดินทางมาถึง สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี พนักงานสอบสวน ได้สอบปากคำ น.ส.ศศิธรรับสารภาพว่า เด็กชายคนนี้ไม่ใช่บุตรที่แท้จริง เพราะได้ตั้งครรภ์และเกิดแท้งลูก แต่ด้วยความกลัวครอบครัวสามีเสียใจและผิดหวัง เมื่อใกล้ถึงกำหนดคลอด ได้รู้จักกับมารดาของเด็กที่ประสงค์จะหาผู้เลี้ยงดูบุตร เนื่องจากมีปัญหาครอบครัว จึงสวมรอยว่าเด็กเป็นลูกของตัวเอง

 

แม่ตัวจริงมาโรงพัก คุยเรื่องลูกชาย

 

 

ด้านพ.ต.อ.ศิริชัย ทรงวศิน ผกก.สภ.สุราษ ฎร์ธานี กล่าวว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าวชุดสืบสวนได้เร่งคลี่คลายคดี และ น.ส.อิงอร ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนพร้อม  ยืนยันหลักฐานเป็นบุตรตนเองแล้วก็ตาม พล.ต.ต. อภิชาติ บุญศรีโรจน์ ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี ได้มีคำสั่งให้นำสามีภรรยาทั้ง 2 ฝ่ายและเด็กรวม 5 คนไป ตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัดที่สุดพร้อมสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อหาข้อเท็จจริงก่อนจะสรุปคดี แม้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้ให้การไปทางเดียวกันแล้วว่าเด็กเป็นบุตรของใคร