เอฟเฟ็คต์ “สิระ” ว่ากันไป !! ปอกเปลือก “ปมที่ดินฉาวภูเก็ต”  ดูให้ชัด แยกให้ออก...ใครป้องผลประโยชน์ชาติ ใครขี้ฉ้อ !??

กลายเป็นกระแสดราม่าอย่างหนัก สำหรับพฤติกรรมส่วนบุคคล ของ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ จนทำให้ประเด็นการตรวจสอบโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม จำนวน 48 อาคาร ในพื้นที่ ต.กมลา อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต ซึ่งถูกข้อกล่าวหาว่าอาจดำเนินการพื้นที่ในเขตป่าอนุรักษ์ เขตป่าสงวน หรือแม้แต่พื้นที่สปก. ถูกกลบเงียบไปอย่างน่าเสียดาย ทั้ง ๆ ที่ควรได้มีการตรวจค้นหาข้อเท็จจริงให้ถึงที่สุด เพื่้อปกป้องทรัพย์สมบัติแผ่นดิน

กลายเป็นกระแสดราม่าอย่างหนัก   สำหรับพฤติกรรมส่วนบุคคล  ของ   นายสิระ เจนจาคะ  ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ    จนทำให้ประเด็นการตรวจสอบโครงการก่อสร้างคอนโดมิเนียม  จำนวน  48  อาคาร ในพื้นที่ ต.กมลา  อ.กระทู้ จ.ภูเก็ต   ซึ่งถูกข้อกล่าวหาว่าอาจดำเนินการพื้นที่ในเขตป่าอนุรักษ์   เขตป่าสงวน หรือแม้แต่พื้นที่สปก. ถูกกลบเงียบไปอย่างน่าเสียดาย  ทั้ง ๆ ที่ควรได้มีการตรวจค้นหาข้อเท็จจริงให้ถึงที่สุด เพื่อปกป้องทรัพย์สมบัติแผ่นดิน 

จุดแรกที่ต้องพิจารณา ก็คือ ปัญหาการซื้อที่ดินเพื่อดำเนินการก่อสร้างคอนโดมิเนียม  ในพื้นที่ริมชายเขา จังหวัดภูเก็ต เป็นเรื่องเกิดขึ้นจริง   จากหลักฐานทั้งภาพการก่อสร้างและเอกสารราชการที่เกี่ยวข้อง 

 

 นายสิระ เจนจาคะ  ส.ส.กทม.พรรคพลังประชารัฐ


โดยในกรณีใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร  ดัดแปลงอาการ  หรือ รื้อถอนอาคาร  เลขที่ 16/2561  เป็นการอนุญาตให้  บริษัทกะตะ บีช จำกัด  ดำเนินการก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัย   ประเภท 2 - 5  ชั้น จำนวน  11  อาคาร  จำนวนห้องชุดรวม 444 ห้อง   ลงชื่อ นายทวี  ทองแช่ม  นายกเทศมนตรีตำบลกะรน  เป็นผู้อนุญาตดำเนินการ  ตั้งแต่วันที่  19  กุมภาพันธ์ 2561 ถึง วันที่  18  กุมภาพันธ์  2562  และมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทางเทศบาลตำบลกะรน
ได้มีการต่อใบอนุญาต อีกครั้งเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา 

 

 


ส่วนรายละเอียดที่ดิน  ระบุว่าเป็น น.ส. 3ก. เลขที่ 1863  แสดงชื่อเจ้าของว่า เป็นพล.ต.อ.สันต์  ศรุตานนท์   และ นายทรงชัย อัจฉริยะหิรัญชัย  นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่   ซึ่งจากการตรวจสอบย้อนหลัง  ก็มีการซื้อขายต่อกันมาเป็นทอด ๆ  จนมาถึง พล.ต.อ.สันต์ และ นายทรงชัย  ในปัจจุบัน

 

 

ทั้งนี้ในประเด็นของความเป็นมาที่ดิน  ทางสำนักข่าวอิศราได้มีการแสดงรายละเอียด ปรากฎเป็นข้อมูลสำคัญ ๆ ดังนี้

 


เริ่มจากปี  2536   กลุ่มบุคคลซึ่งประกอบด้วย   1. นายสุชาติ รักสงบ , 2. นายเกษม แสงสว่าง, 3.นางสายใจ ลักษณะมั่น, 4. นายประเสริฐ ชูภักดิ์ และ 5. นายยงยุทธ บัวทองคง  ได้ยื่นคำขอรังวัดออกหนังสือรับรอง  การทำประโยชน์ในที่ดิน  ตำบลกะรน   อ.เมืองภูเก็ต  จ.ภูเก็ต  ตามหนังสือเลขที่ 142/37   ลงวันที่ 2 พฤศจิกายน  2536 

 


จากนั้นในปี  2537  มีการแจ้งขอเปลี่ยนแปลงชื่อผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน  เหลือเพียง 2 คน คือ  นายเกษม แสงสว่าง และ นายกสิกร ภูมิกำจร   ที่อ้างว่าได้ซื้อที่ดินต่อจากนายเกษม  เป็นจำนวน   6  ไร่  2 งาน  จากจำนวนเดิม  18 ไร่  

 


อย่างไรก็ตามมีข้อพิจารณาสำคัญว่า ในปี  2547  ทางด้านเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต  ได้แจ้งต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว  ผ่านหนังสือที่ ภก 0019.3/6291  ลงวันที่ 11 มิถุนายน  2547 ระบุไม่สามารถออกเอกสารสิทธิที่ดิน น.ส.3ก. ให้ได้  เรื่องจากที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นที่เขา  ถือเป็นเขตหวงห้ามตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 27 มีนาคม  2499 และ ประกาศอีกหนึ่งฉบับลงวันที่ 21 พฤษภาคม 2523  รวมทั้งยังมีประกาศให้จังหวัดภูเก็ต  เป็นเกาะต้องห้ามไม่ให้ออกโฉนดที่ดิน หรือ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 พ.ศ. 2537  
 

 

 นายสิระ เจนจาคะ

เห็นชัดเจนว่าที่ดินแปลงดังกล่าวมีปัญหาแต่แรกเริ่มแล้ว  หากในแง่ผลประโยชน์มหาศาล  เรื่องนี้จึงไม่จบง่าย ๆ 

 


โดยชุดข้อมูลต่อมาพบว่า   ทางด้านนายเกษม และ นายสิกรณ์      ได้ทำการยื่นอุทธรณ์ต่อผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตในขณะนั้น   และนำไปสู่กระบวนการฟ้องร้องต่อศาลปกครอง  จังหวัดนครศรีธรรมราช   เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต    

 


และในขั้นตอนดังกล่าว ปรากฎว่าศาลปกครอง   ได้มีคำพิพากษาเห็นชอบกับการให้เพิกถอนคำสั่ง ที่ ภก 0019.3/6291  โดยให้เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต  ดำเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้ถูกต้องต่อไป  ตามคดีหมายเลขแดงที่ 164/2551 ลงวันที่  29 กันยายน 2551 

เอฟเฟ็คต์ “สิระ” ว่ากันไป !! ปอกเปลือก “ปมที่ดินฉาวภูเก็ต”  ดูให้ชัด แยกให้ออก...ใครป้องผลประโยชน์ชาติ ใครขี้ฉ้อ !??


อย่างไรก็ตามก็เกิดปัญหาตามมา  เมื่อนายเกษม และนายกสิกรณ์  ได้ดำเนินการยื่นคำขอรวมสิทธิการรังวัดออก น.ส.3 ก.  ในที่ดินแปลงดังกล่าว    โดยไม่แจ้งสิทธิการครอบครองกับผู้แสดงสิทธิรายอื่น ๆ  ทำให้ทั้ง   นายสุชาติ  , นางสายใจ และ นางรัตนา ชูภักดิ์  คัดค้านคำขอรวมสิทธิดังกล่าว 

 

 


ทาง นายไพฑูรย์  เลิศไกร  เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต  จึงได้ประสานกรมที่ดินแปลภาพถ่ายทางอากาศ  เพื่อหาร่องรอยการทำประโยชน์ในที่ดิน เพื่อใช้เป็นองค์ประกอบการออกเอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก. ตามประมวลกฎหมายที่ดิน กระทั่งพบข้อเท็จจริงใหม่  ว่า  ที่ดินดังกล่าว  เป็นพื้นที่ป่าไม่ผลัดใบ คือ  ไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์มาก่อน  ทางสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต  จึงยกเลิกคำขอดังกล่าว และไม่ออกเอกสารสิทธิในที่ดินให้กลุ่มบุคคลดังกล่าว

 

 


กระทั่งต่อมา  นายสุชาติ  รักสงบ  ซึ่งอ้างการถือครองสิทธิที่ดินในจุดดังกล่าวมาตั้้งแต่ต้น หรือ ในช่วงปี  2536  ได้ยื่นขอตรวจสอบสิทธิการออกน.ส.3ก. แยกออกจาก  นายเกษม และนายกสิกรณ์   ผลปรากฎว่า  

 

 


และจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าพนักงานที่ดินคนต่อมา ซึ่งก็คือ นายสิทธิชัย พรหมชาติ  ได้วินิจฉัยตามข้อมูลการรังวัด  ว่า ที่ดินที่นายสุชาติ กล่าวอ้าง  บางส่วนอยู่ในที่ป่า  จึงคงเหลือที่่ดินที่สามารถออกเอกสารสิทธิได้ จำนวน  17 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา   และมีการดำเนินการออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 ก.   เลขที่ 1863 ให้แก่ นายสุชาติ รักสงบ แต่เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2555   และวันรุ่งขึ้น คือ ในวันที่ 18 เมษายน 2555  นายสุชาติ ก็ยอมขายต่อให้ นายบุญชู ดำรงกิจการวงศ์

 


@ ชัดเจนไปอีกหนึ่งขั้นตอนทางกฎหมาย และการทำหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ดินภูเก็ตในขณะนั้น ก่อนจะบานปลายกลายมาเป็นปมปัญหาใหญ่ในเวลาต่อมา  

 

 


เพราะหลังจาก  นายบุญชู ดำรงกิจการวงศ์  ได้ที่ดินผืนดังกล่าวมา ก็เอาไปขายต่อให้กับ พล.ต.อ.สันต์    และนายทรงชัย ทันทีในวันที่ 19 เมษายน 2555  ชนิดไม่ต้องแปลความว่า  ขั้นตอนทั้งหมดเป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่  อย่างไร   กับกระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้น

 

 


แต่ทุกอย่างก็ไม่ราบรื่น  เพราะเมื่อ  นายกสิกรณ์ ภูมิกำจร  ซึ่งซื้อที่ดินต่อมาจาก  นายเกษม แสงสว่าง  ผู้แสดงสิทธิการถือครองที่ดินตั้งแต่แรก  จำนวน  6 ไร่ 2 งาน  เมื่อวันที่  29 กันยายน 2537    เกิดเห็นว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม  เพราะที่ดินของตนที่ซื้อมาไม่ได้เอกสารสิทธิ น.ส. 3 ก.  จึงไปยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง  จังหวัดนครศรีธรรมราช 

 

 


โดยคำร้องหมายเลขคดีดำที่ 147/2555    ก็คือการขอให้ศาลปกครอง  มีคำสั่งเพิกถอนที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 1863 ที่ออกให้นายสุชาติ รักสงบ  แต่เพียงผู้เดียว  จนกระทั่ง วันที่ 31 สิงหาคม  2560  ศาลปกครอง  จังหวัดนครศรีธรรมราช  จึงได้มีคำพิพากษาในคดีหมายเลขแดงที่ 266/2560 

 

 


ให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์  หรือ น.ส. 3 ก.   เลขที่ 1863 หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต และให้มีผลย้อนหลังนับจากวันที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าว  คือ  นับแต่วันที่ 17 เมษายน 2555  เป็นต้นมา  เท่ากับว่าที่ดินที่ทั้ง พล.ต.อ.สันต์ และ นายทรงชัย  ลงทุนซื้่อมาทำประโยชน์ทางธุรกิจ  กลายเป็นที่ดินมีปัญหา เพราะไร้เอกสารสิทธิไปโดยปริยาย

 

 


@ ปัญหาใหญ่ ปัญหาหนัก จึงย้อนกลับมาที่กลุ่มผู้ลงทุนโครงการ  เดอะ พีค เรสซิเดนซ์ ของ บริษัท กะตะ บีช  ชนิดไม่ทันตั้งตัว  ถึงแม้จะมีการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด โดยสำนักงานที่ดินจังหวัดภูเก็ต แล้วก็ตาม

 

 


ด้วยกรณีที่เกิดขึ้นได้เกิดให้เกิดกระแสการคัดค้านการก่อสร้างโครงการ   จากทางด้าน  นายสมบัติ อติเศรษฐ์    ประธานมูลนิธิรักษ์ท้องถิ่น    รวมถึงชาวบ้านหาดกะตะน้อย อ.เมือง จ.ภูเก็ต  เนื่องจากแม้จะมีคำสั่งศาลปกครองให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ หรือ น.ส. 3 ก. เมื่อวันที่  17 เมษายน  2552

 

 


กลับปรากฎว่าทางโครงการยังมีการก่อสร้างมาโดยตลอดต่อเนื่อง    หลังจาก นายทวี ทองแช่ม  นายกเทศมนตรี ตำบลกะรน   ลงนามยินยอมออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร  ให้กับโครงการ  เดอะ พีค เรสซิเดนซ์ ของ บริษัท กะตะ บีช ดำเนินโครงการต่อไปได้

 


ทั้งที่  ศาลปกครองนครศรีธรรมราช   ได้มีคำพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ( น.ส. 3 ก. ) เลขที่ 1863 หมู่ที่ 2 ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต แล้ว  โดยอ้างตามคำร้องของภาคเอกชน  ว่า  คดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด

 

 


ขณะที่  นายสมบัติ    ประธานมูลนิธิรักษ์ท้องถิ่น     ยืนยันว่าการออกมาคัดค้านการก่อสร้างโครงการดังกล่าว เป็นเรื่องการพิจารณาถึงงผลกระทบจากโครงการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต   เพราะโครงการทำขึ้นในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ และชาวบ้านก็ต่อสู้เรื่องนี้    ในทุกขั้นตอนมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2560    แม้กระทั่้งการขอให้มีการตรวจสอบเรื่องผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA  แต่กลายเป็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐกลับปล่อยให้มีการก่อสร้างมาเรื่อยๆอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้       

 


@ท้ายสุดกรณีที่เกิดขึ้น บุคคลในกระแสร้อนอย่าง นายสิระ  เจนจาคะ  จะไปอย่างไรต่อ  เพราะโดนกระหน่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก จากสิ่งที่ได้ไปก่อเหตุไว้ที่ภูเก็ต 

 

 


ล่าสุด  นายสิระ ยืนยันว่าจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด   โดยจะเข้ายื่นหนังสือขอให้ดีเอสไอ รับสอบสวนประเด็นดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ   เนื่องจากมีผู้อิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้  รวมถึงเชื่อได้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง

 

 

โดยเฉพาะกรณีที่ศาลปกครองกลางสั่งเพิกถอนเอกสาร นส. 3 ก.แล้ว  แต่กลับปรากฎว่า สำนักงานที่ดิน จังหวัดภูเก็ต ได้ยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลปกครองสูงสุด  ทั้ง ๆ ที่ หากฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐไม่ยื่นอุทธรณ์  ที่ดินน.ส.3 ก. ก็จะกลับคืนสภาพเป็นที่ดินของรัฐ

 

 

รวมถึงข้อสงสัยว่าทำไมเทศบาลตำบลกะรน   จึงกลับอนุญาตให้บริษัทเอกชนก่อสร้างคอนโดฯดังกล่าว ทั้งๆที่รู้ว่ามีปัญหา และอาจผลกระทบในระยะยาว  ทั้งภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และการลงทุนในจังหวัดภูเก็ต   หากคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด  วินิจฉัยให้เพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดินบริเวณที่ก่อสร้างคอนโดฯ

 

 

ขณะที่โครงการคอนโดมิเนียมหรู “เดอะ พีค เรสซิเด้นท์” ของบริษัท กะตะ บีช จำกัด  ปัจจุบันมีรายงานข่าวว่า  สามารถขายโครงการได้ทั้งหมดแล้ว   ส่วนการก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 70%  พร้อมจะทยอยส่งมอบ  โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่ลูกค้าทั้งคนไทยและต่างชาติในช่วงปลายปี  2562   

 

นายเกษม แสงสว่าง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
-สิระ แจงดราม่าเสียงดัง เพราะเป็นคนหูตึง ลุยชนอดีตบิ๊กตร. ร้องผู้ว่าฯภูเก็ตสอบจนท. ปล่อยคอนโดสร้างผิดกม.
-ดราม่าโซเชียล บิ๊กป้อม ฮึ่มจ่อเรียก สิระ คุยด่วน ปมคลิปข่มตร.ภูเก็ตว่อนเน็ต
-สิระ งัดหลักฐานแฉซ้ำ อดีตบิ๊กตร.รุกที่ดินเกาะภูเก็ต สร้างคอนโดฯผิดกม.
-สิระ เปิดศึกอดีตบิ๊กตร.นำที่ดินภูเก็ตก่อสร้างคอนโดฯหรูผิดกม.