กระทั่งล่าสุดศาลอุทรณ์พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต โดยให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้จะเป็นชาวต่างชาติและการกระทำเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ประสงค์ให้เกิดในราชอาณาจักร จึงต้องดำเนินคดีและนับโทษตามกฎหมายในประเทศไทย

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2561 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาประหารชีวิต นายไซซะนะ แก้วพิม จำเลยเนื่องจากมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยเป็นผู้สั่งการ ให้มีการลำเลียงยาบ้า เพื่อส่งผู้ลูกค้าในประเทศไทย แต่จำเลยให้การเป็นประโยชน์ศาลจึงลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกตลอดชีวิต


ต่อมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายไซซะนะ แก้วพิมพา จำเลยในคดีมียาบ้าไว้ในครอบครอง 1.2 ล้านเม็ด จากสถานบำบัดกลาง เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ในคดีหมายเลขดำ อย.1642/60 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ฟ้องนายไซซะนะ แก้วพิมพา ชาว สปป.ลาว เป็นจำเลยในความผิดอาญา 

 


มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 หรือยาบ้าไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย กรณีจำเลยกับพวกมียาบ้า 1.2 ล้านไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คดีนี้ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต ต่อมาจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ ที่ห้องพิจารณา 905

กระทั่งล่าสุดศาลอุทรณ์พิพากษายืนจำคุกตลอดชีวิต โดยให้เหตุผลว่าพยานหลักฐานที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ไม่มีน้ำหนักที่จะหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ แม้จะเป็นชาวต่างชาติและการกระทำเกิดขึ้นนอกราชอาณาจักร แต่ประสงค์ให้เกิดในราชอาณาจักร จึงต้องดำเนินคดีและนับโทษตามกฎหมายในประเทศไทย

 

 

ศาลอุทธรณ์ยืนโทษ จำคุกตลอดชีวิต  ไซซะนะ เจ้าพ่อค้ายาเมืองลาว