สองพยาบาลไทย เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนมีอาการผิดปกติ สุดท้ายต้องยอมจ่ายค่ารักษา 300%

สองพยาบาลไทย เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนมีอาการผิดปกติ สุดท้ายต้องยอมจ่ายค่ารักษา 300%

เป็นเรื่องราวที่ทำให้เห็นการทำงานของแพทย์ในโรงพยาบาลของประเทศ ญี่ปุ่น ซึ่งปกติคนภายนอกคงไม่ได้เห็นอย่างแน่นอน หลังผู้ใช้เฟซบุ๊ก Soraya Chukul โพสต์ภาพเล่าเหตุการณ์ ของพยาบาลไทย ที่ไปเที่ยวประเทศ ญี่ปุ่น แล้วไม่ได้ซื้อประกันเดินทาง จนกระทั่งมีสาวพยาบาลอีกคนเกิดอาการผิดปกติขึ้นมา จนต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งต้องใช้ค่ารักษาเป็นจำนวนเงินที่สูงมาก

ผู้ใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความระบุว่า ทั้งสองเดินทางถึงญี่ปุ่นในวันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม คืนนั้นหลังเข้านอนราว4 ทุ่มกว่า พยาบาลคนแรกเห็นเพื่อนนั่งบนเตียง แล้วค่อยๆลื่นถไลลงไปกองบนพื้น มีอาการต่อมาที่คนเป็นพยาบาลอย่างเธอ สงสัยว่าจะเป็นstroke เพื่อนปากเบี้ยวน้ำลายไหล คลื่นไส้ อาเจียน ปวดหัวมาก เธอร้องเสียงดังจนแขกที่มาพักข้างห้องมาเคาะประตู และช่วยเรียกรถพยาบาลฉุกเฉิน นำตัวส่งรพ.ราวๆห้าทุ่มเศษ

ความที่เธอพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย เคว้งคว้าง สับสน กลัว เป็นห่วงชีวิตเพื่อน สื่อสารกับหมอและเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่ไม่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษ จึงติดต่อเพื่อนที่อยู่ในญี่ปุ่นคนหนึ่งชื่อกุ๊กไก่ ที่มีครอบครัวที่นี่ด้วยและทำงานด้วย แต่ตอนนี้กุ๊กไก่ถูกส่งตัวไปทำงานที่ไทยพอดี

 

 

สองพยาบาลไทย เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนมีอาการผิดปกติ สุดท้ายต้องยอมจ่ายค่ารักษา 300%

 

 

กุ๊กไก่โพสต์ข้อความขอความช่วยเหลือ หาคนที่ได้ภาษาญี่ปุ่นตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ได้นักศึกษาไทยคนนึงมาช่วย และต้องกลับไปก่อน เธอเริ่มเคว้งคว้างรอบสอง คราวนี้หนักขึ้น เพราะผลตรวจMRI และทำCTแสกนร่างกาย เพื่อนเธอน่าจะมีอาการทางสมองจริงๆ ทางรพ.นี้จึงจะทำการส่งย้ายผู้ป่วยไปที่รพ.ที่ใหญ่กว่า และมีแพทย์เฉพาะทางสมองโดยตรง

ในช่วงระหว่างนั้น ฉันตื่นมาเข้าห้องน้ำตอนเช้า แล้วเปิดมือถือเห็นข้อความแบบบังเอิญในFacebook ที่มันเด้งขึ้นจากเพจแม่บ้านในญี่ปุ่น ตอนหกโมงกว่า จึงตัดสินใจติดต่อเพื่อนผู้ป่วย เพราะบ้านอยู่ใกล้รพ.พอดี (ฉันอยู่ Kinshicho รพ.ที่จะต้องไปอยู่ Hikifune) และถามว่ามีคนช่วยเหลือรึยัง คนป่วยเป็นไงบ้าง เธอบอกยังไม่มีใคร ฉันจึงตกลงไปช่วยเหลือทันที คุยไปคุยมาเธอให้ฉันคุยกับหมอที่นั่น

หมอบอกว่าต้องการให้ฉันนั่งรถพยาบาลไปกับคนป่วยด้วยตอนนี้เพื่อเคลื่อนย้ายไปอีกรพ. ในทันที และถามว่าฉันจะไปถึงภายในกี่นาที ฉันจึงบอกไปว่าภายในไม่เกิน40นาทีฉันจะถึงที่นั่น ความที่ฉันยังอยู่ในชุดนอน รพ.แรกนี้อยู่ตรงไหนก็ยังไม่รู้ๆแต่ว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตบ้านตัวเองมาก ก็ต้องรีบเปิดกูเกิ้ลหาตำแหน่งที่ตั้งไปด้วย ปลุกคุณยามะขอร้องให้ช่วยขับรถไปส่งด้วย ตัวเองก็ต้องรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า คุณยามะที่แก่ชรา เวลานอนต้องถอดฟันปลอมแช่น้ำยาไว้ในห้องน้ำ ก่อนออกจากบ้านต้องล้าง และทำความสะอาดก่อนใส่ปาก ทำให้เสียเวลาในห้องน้ำมาก ฉันไม่มีโอกาสที่จะเข้าไปล้างหน้าแปรงฟัน ต่อได้เลย เพราะจะทำให้เวลาหมดไปอีกอย่างน้อย 5-10นาที ความเป็นความตายของคนป่วยรอฉันพาส่งรพ.อยู่ ทุกนาทีที่ตอนนั้นฉันคิดว่ามันมีค่ามาก

พอถึงรพ.ฉันเจอะน้อง เจอะเจ้าหน้าที่รพ.เตรียมรถพร้อมส่งคนป่วย เจ้าหน้าที่ขอมัดจำค่ารักษา 2 หมื่นเยน (ซึ่งหลังจากนั้นเรารู้ว่าค่ารักษาขั้นต้นที่นี่ แค่กลางดึกถึงเช้า ประมาณ 86,000เยน) คุยไปคุยมาเห็นฉันสื่อสารได้ดี เจ้าหน้าที่เลยบอกเด๋ววันจันทร์โทรมาติดต่อขอจ่ายทีหลังละกัน เผื่อเราต้องใช้เงินในหนทางข้างหน้า เพราะเธอแลกเงินมาไม่มาก และจำนวนเต็มของยอดนี้ก็ยังไม่รู้เท่าไหร่ในตอนนั้น มันเช้าเกินไป เจ้าหน้าที่การเงินยังไม่มาทำงาน

ฉันเข้าไปอยู่ในรถพยาบาล เริ่มทำหน้าที่ล่ามอาสาสมัครให้กับคนป่วยและเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ ณ. วินาทีนั้น รถพยาบาลเปิดไซเรน รีบนำผู้ป่วยไปอีกรพ.นึงทันที

เมื่อมาถึงรพ.ใหญ่หมอรีบทำ CT สแกนร่างกาย และ MRI อีกรอบ พบว่าน่าจะเกิดจากเส้นเลือดในสมองตีบ พออีกสักพัก ก็ต้องCT สแกนสมองส่วนในแบบละเอียดลึกอีกรอบ ในระหว่างนั้นผู้ป่วยแทบจะลืมตาไม่ขึ้น หมดเรี่ยวหมดแรงจากการอาเจียน หมอถามตอบอะไรก็ไม่มีแรง แต่ทางการแพทย์ยังถือว่าดี ที่คนป่วยยังรู้สึกตัวและตอบสนองในสิ่งที่หมอต้องการเช็ค

ครบ 5 ชั่วโมงจากการรักษาครั้งแรก หมอทำCT สแกนสมองอีกรอบ เพื่อประมวลผลอย่างละเอียด และนำผลนั้นมาบอกเราถึงขั้นตอนต่อไปว่าจะทำอะไรอย่างไรที่นี่ พร้อมทั้งถามความต้องการของทางญาติผู้ป่วยว่าจะให้คนป่วยรักษาแค่ไหน เนื่องจากค่ารักษาสูงมาก ในระหว่างที่เราเพิ่งมาถึงและเริ่มทำการรักษาเบื้องต้น ผลยังไม่แน่นอน ตอนนั้นเราก็แทบเข่าอ่อน จากที่ผู้ป่วยไม่มีประกันเดินทางอะไรเลย ต้องจ่ายค่ารักษาต่อวันที่นี่ 300%จากค่ารักษาของคนญี่ปุ่นทั่วไป และคิดเป็นแบบง่ายๆคือ อาการของผู้ป่วยตอนนี้ ไม่ได้ทำการรักษาแบบจริงจัง คือให้การดูแลขั้นต้น ให้น้ำเกลือ ให้ยาบางตัว ให้ร่างกายฟื้นฟูคิดไปเลยวันละ 6 แสนเยน ถ้าอยู่รักษา มีผ่าตัด ก็หลายล้านเยน

 

 

สองพยาบาลไทย เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่น ก่อนมีอาการผิดปกติ สุดท้ายต้องยอมจ่ายค่ารักษา 300%

 

 

เย็นวันอาทิตย์ที่ 22 มีล่ามอาสาสมัครติดต่อมาหาฉันอีกคน คุณแฟนต้าจากเพจดังที่คอยแปลข่าวในญี่ปุ่นให้คนไทยอ่าน และเป็นคนใจดีที่คอยช่วยเหลือคนไทยที่มาอยู่แบบผิดกฏหมายขอให้พาไปมอบตัวกลับไทยมากมาย มีแฟนคลับคนไทยทั่วญี่ปุ่นและไทย

คุณแฟนต้าอาสามาช่วยร่วมกันกับฉัน เราไปรพ.ด้วยกันในวันจันทร์ที่ 23 และเราแบ่งวันกันเป็นล่ามดูแลคนป่วยให้ความสะดวกกับเพื่อนๆคนป่วยที่ตอนนี้ตามมาจากไทยสมทบอยู่ด้วยอีก 2 คน

วันนี้ฉันจึงมีเวลาพักสมอง กะว่าจะไปอีกทีวันพฤหัส เมื่อวานค่าใช้จ่ายในการรักษาเบื้องต้น ที่ยังไม่ได้เจาะลึกถึงการรักษาเส้นสมองตีบเลย ปาไป ล้านห้าแสนเยนแล้ว และหลังจากนี้อีกประมาณ 4-5 วันจะทำการดูแลอาการให้มีแรงพอ เพื่อส่งต่อกลับไปรักษาอย่างจริงจังที่ไทย ก็ต้องจ่ายอีกประมาณวันละ 150,000-200,000 เยน ไม่รวมค่าห้องพัก ซึ่งทางเราเลือกห้องพักแบบ 0 เยน (ก็ไม่รู้จะมีสภาพแบบไหน)

ก่อนกลับจากรพ.ของตอนค่ำ ผู้ป่วยนั่งทานข้าวมื้อแรกได้แล้ว แต่มีอาการปากเบี้ยว ครึ่งซีก ซึ่งคงต้องทำกายภาพบำบัด และรีบส่งตัวกลับไทยให้เร็วที่สุด เพราะอยู่ที่นี่คือแค่ประคองอาการรอการรักษาเท่านั้น ถ้าไม่แข็งแรงพอ ก็จะขึ้นเครื่องไม่ได้ และเสี่ยงกับการเลือดออกในสมองกลางทางบนเครื่องบิน

แผนการณ์ที่จะต้องจัดการในวันกลับคือ ต้องมีรถเข็นจากรพ.ถึงสนามบิน ใช้เวลาในสนามบินให้น้อยที่สุดก่อนขึ้นเครื่อง และเมื่อถึงสนามบินที่ไทย ต้องมีรถพยาบาลมารับที่สนามบินเพื่อส่งต่อรักษาทันทีในรพ.ที่ไทย

ทุกขั้นตอนในการรักษาดูแลที่นี่ การประสานงานระหว่างไทยญี่ปุ่น วุ่นวายตลอดเวลา เพื่อจะต้องให้คนป่วยกลับไทยอย่างไม่มีปัญหา แถมเรื่องค่ารักษาพยาบาลที่เจ้าหน้าที่ของญี่ปุ่นก็กำลังจี้ทางเรา ให้เริ่มจ่ายเงินทันที เพราะมันยิ่งสูงขึ้นทุกวันๆ ในขณะที่ตอนนี้เค้าปรารภกับล่ามว่า “ช่วยกรุณาบอกญาติรีบหามาจ่ายให้ทางเราสบายใจด้วยอย่างเร็วที่สุดก้อนแรกเลย ถ้าไม่มีก็ให้รีบหยิบยืมญาติพี่น้องมาจ่ายด้วยนะคะ”

ประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้ฉันได้เห็นการทำงานของแพทย์ เห็นสถานที่ๆคนภายนอกปกติคงไม่ได้เห็นในรพ.ญี่ปุ่น บรรยากาศตั้งแต่ห้องฉุกเฉินในรพ.ใหญ่ ห้องICU ระบบการดูแล ปฏิบัติต่อผู้ป่วย เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ บุคคลากร ได้ทั้งบุญที่ช่วยเหลือคนไทยด้วยกัน ได้ทั้งความรู้ที่หาซื้อด้วยเงินไม่ได้ และที่สุดคือได้รับความสุขใจในการให้คนอื่นอย่างแท้จริง

ย้ำ!!!!! มาเที่ยวญี่ปุ่น อย่าลืมซื้อประกันเดินทางมาด้วยนะคะ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่คืออุทาหรณ์ของคำว่า...เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย...ของแท้!!!!