ลีกาชิง จากเด็กเร่ร่อน สู่มหาเศรษฐีฮ่องกงผู้รวยที่สุดในฮ่องกง

เรียกได้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก มังกรแห่งฮ่องกง "ลีกาชิง" มหาเศรษฐีฮ่องกงผู้รวยที่สุดในฮ่องกง เป็นอันดับสองของเอเชีย และเป็นลำดับที่ 23 ของโลก โดยเริ่มต้นจากศูยน์ ลีกาชิง  เป็นชาวจีน เมื่อเกิดสงครามในประเทศจีน ทำให้วัยเด็กของ"ลีกาชิง"ต้องเร่ร่อน เป็นผู้อพยพจากประเทศจากจีนมาสู่เกาะฮ่องกง

เรียกได้ว่าตอนนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก มังกรแห่งฮ่องกง "ลีกาชิง" มหาเศรษฐีฮ่องกงผู้รวยที่สุดในฮ่องกง เป็นอันดับสองของเอเชีย และเป็นลำดับที่ 23 ของโลก โดยเริ่มต้นจากศูยน์ "ลีกาชิง"  เป็นชาวจีน เมื่อเกิดสงครามในประเทศจีน ทำให้วัยเด็กของ"ลีกาชิง"ต้องเร่ร่อน เป็นผู้อพยพจากประเทศจากจีนมาสู่เกาะฮ่องกง

 

ลีกาชิง

 

เริ่มต่อสู้ดิ้นรนทำมาค้าขายตั้งแต่ยังเด็กเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว และวันนี้เราได้นำเคล็ดของ ลีกาชิง มาเพื่อเป็นแนวทางในกับทุกคน "ลีกาชิง" ชายผู้เริ่มต้นจากศูยน์ เผยเคล็ดลับ สู่ความสำเร็จ "ใช้เงินเป็นแล้วจะรวย" ไป่านกันเลยค่ะ

 

ประเทศจีน

โดย "ลี กา ชิง" เกิดในปี 1928 ที่เมืองแต้จิ๋ว ในประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เขามีชีวิตที่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้มีชีวิตรอดตั้งแต่ในวัยเด็ก เนื่องจากครอบครัวของเขาต้องอพยพหนีภัยสงครามจากประเทศจีนมายังเกาะฮ่องกง ในช่วงที่เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ซึ่งตอนนั้นกองกำลังญี่ปุ่นได้ยกพลเข้ามาบุกรุกเพื่อหมายจะยึดครองประเทศจีน

 

ลีกาชิง

 

หลังจากที่ย้ายมาอยู่ที่ฮ่องกงได้ไม่นาน พ่อของ ลีกาชิง ก็เสียชีวิตลง จึงทำให้เขาได้กลายมาเป็นเสาหลักของครอบครัว ซึ่งทำให้เขาต้องลาออกจากโรงเรียน และเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 15 ปี

 

มองมุมกลับ

 

และได้เริ่มชีวิตการทำงานที่บริษัทผลิตพลาสติกแห่งหนึ่ง โดยในช่วงเวลานั้นเขาต้องทำงานหนักถึง 16-20 ชั่วโมงต่อวัน เลยทีเดียว ซึ่งในบางครั้งก็ยังต้องทำงานในวันเสาร์-อาทิตย์อีกด้วย อย่างไรก็ตามมันก็แลกมากับการที่ทำให้เขาได้เรียนรู้ทักษะต่างๆ หลายอย่างที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจของตัวเองในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทักษะการบริหาร การทำบัญชี เป็นต้น

 

ลีกาชิง

 


"ลี กา ชิง" ในวัย 22 ปี ได้เปิดบริษัทผลิตพลาสติกของตัวเองเป็นครั้งแรก ชื่อว่า "เฉิงกง" (Cheung Kong) ซึ่งถึงแม้ในช่วงแรกของการทำธุรกิจจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก เขาต้องประหยัดอย่างมาก และทำหน้าที่เกือบทุกอย่างในบริษัท เพื่อที่จะนำพาบริษัทของเขาอยู่รอดให้ได้ จนในที่สุดจากธุรกิจผลิตพลาสติกเล็กๆ ของเขา ก็ก้าวไปสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตดอกไม้ประดิษฐ์ที่ทำมาจากพลาสติกรายใหญ่ที่สุดในเอเชีย

     

ลีกาชิง

 หลังจากที่ธุรกิจดอกไม้พลาสติกของเขาประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จึงทำให้เขาเริ่มมีทุนมากขึ้น ลี กา ชิง ได้ต่อยอดความสำเร็จของเขายิ่งขึ้นไปอีก โดยการดำเนินธุรกิจในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น อสังหาริมทรัพย์ ท่าเรือ การสื่อสาร พลังงาน ค้าปลีก ฯลฯ ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จในทุกธุรกิจที่เขาทำ จนได้ฉายาจากชาวฮ่องกงว่าเป็น “ซุปเปอร์แมน” ยิ่งไปกว่านั้นถึงขนาดมีบางคนกล่าวว่า ทุกอย่างบนเกาะฮ่องกงนี้ เป็นของ “ลี กา ชิง” เลยทีเดียว
 เมื่อต้นปี 2018 นี้ ลี กา ชิง ได้ประกาศก้าวลงจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารของบริษัท CK Hutchison Holdings และ Cheung Kong Property Holdings เพื่อวางมือจากธุรกิจของเขา และให้ วิคเตอร์ ลี (หรือ “ลี่ซาเค”) ลูกชายคนโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารแทน ส่วนตัวเขาเองหลังจากที่เกษียณแล้ว ก็ตั้งใจว่าจะทุ่มเทให้กับงานด้านการกุศลมากยิ่งขึ้น

ลีกาชิง

ปัจจุบัน "ลี กา ชิง" มีอายุ 90 ปี มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ที่ 34.9 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และเป็นมหาเศรษฐีอันดับที่ 23 ของโลก จากการจัดอันดับของ Forbes (July 2018)  บทเรียนชีวิต และแนวคิดสำคัญของ ลี กา ชิง   หลักการบริหารเงิน 5 ส่วน  "ลี กา ชิง" ได้แนะวิธีการบริหารเงิน ซึ่งเขาเชื่อว่า ถ้าคุณทำมันอย่างต่อเนื่อง ในไม่ช้าคุณก็จะสามารถสร้างธุรกิจเป็นของตนเอง และรวยได้ภายในระยะเวลา 5 ปี
โดยให้จัดสรรเงินออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้

 

ลีกาชิง

 

1) เงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนตัวทั่วไปในชีวิตประจำวัน = 30%
 เป็นเงินที่ใช้เป็นค่าใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าอุปโภค บริโภคต่างๆ ซึ่งเงินในส่วนนี้ ลี กา ชิง เน้นย้ำให้ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ใช้ในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น อย่าหมดไปกับสิ่งฟุ่มเฟือย

 

เงิน

 

2) เงินสำหรับการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น = 20%
เป็นเงินที่ใช้เพื่อเอาไปเลี้ยงผู้อื่น เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูง โดยเฉพาะคนที่เก่ง และรวยกว่าเรา เพื่อที่จะได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากพวกเขาเหล่านั้น นอกจากนี้เงินส่วนนี้ยังรวมถึงรายจ่ายที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช่น ค่าโทรศัพท์อีกด้วย

 

ลีกาชิง

 

3) เงินสำหรับการเรียนรู้ = 15%
เป็นเงินที่ใช้ในการหาความรู้ เช่น การซื้อหนังสือที่มีประโยชน์ การไปอบรมสัมมนาต่างๆ เป็นต้น
 
4) เงินสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ = 10%
  เป็นเงินที่เตรียมเอาไว้สำหรับท่องเที่ยว ซึ่ง ลี กา ชิง แนะนำให้คุณไปต่างประเทศอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตา และการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ที่สำคัญยังเป็นเหมือนการให้รางวัลชีวิตกับตัวเองอีกด้วย

 

ลีกาชิง

 

5) เงินสำหรับการออม เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน หรือเริ่มทำธุรกิจ = 25%

เป็นเงินที่เตรียมเอาไว้สำหรับการลงทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อทำธุรกิจ การค้าขาย การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ หรือตราสารทางการเงินต่างๆ เป็นต้น     สิ่งที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดกัน ก็คือ พวกเขาคิดว่าต้องรอมีเงินมากๆ ก่อน ถึงค่อยมาคิดเรื่องการบริหารเงิน แต่ในความเป็นจริง การบริหารเงินต่างหาก ที่ทำให้คนธรรมดา กลายเป็นคนรวยขึ้นมาได้

 

ไม่เชื่อเรื่อง "ดวง" แต่เชื่อใน "ความขยันหมั่นเพียร"
เมื่อสมัยที่ ลี กา ชิง ยังเด็ก เคยถูกหมอดูทักว่า ชีวิตของเขานั้นยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่เขาเลือกที่จะไม่เชื่อ เขาเชื่อว่าการที่คนเราจะประสบความสำเร็จได้ เป็นเรื่องความขยันหมั่นเพียรของบุคคลคนนั้น รวมถึงการรู้จักพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวกำหนดพรหมลิขิตหรือโชคชะตาของเราได้เขาเชื่อว่า ชีวิตของคนเรานั้นสามารถออกแบบได้ อาชีพสามารถวางแผนได้ ความสุขของเราต้องเตรียมพร้อม ถ้าเริ่มวางแผนตอนนี้ จะดีที่สุด

   

เงิน

 

เมื่อมีแล้ว ต้องรู้จักให้
 ลี กา ชิง นั้นถือได้ว่าเป็นเศรษฐีที่ใจบุญ โดยนอกจากการมีธุรกิจในเครือ CK แล้ว เขายังเป็นประธานมูลนิธิ Li Ka Shing Foundation ซึ่งเป็นองค์กรด้านการกุศลอีกด้วย ที่ผ่านมา ลี กา ชิง ได้ให้ความช่วยเหลือและบริจาคเงินอย่างมากมายในกิจกรรมการกุศลต่างๆ ไปมากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น การบริจาคเพื่อการศึกษา การบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยในเหตุการณ์ต่างๆ การบริจาคทางการแพทย์ เป็นต้น

 

ลีกาชิง

 


ถ้าในตอนนี้ คุณยังจนอยู่ จงออกไปนอกบ้านให้มากๆ เพื่อไปทำงาน และพบเจอโอกาสที่อยู่ข้างนอก (เนื่องจากโอกาสมักมาจากผู้อื่น) ในทางกลับกัน ถ้าคุณรวยแล้ว ก็ควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัว และอยู่กับตัวเองให้มากขึ้น  "ลี กา ชิง" บอกว่านี่คือศิลปะของการใช้ชีวิตที่คนส่วนใหญ่มักชอบทำตรงกันข้าม เนื่องจากคนจน พอไม่มีงาน ก็มักจะขี้เกียจ ไม่อยากจะออกไปนอกบ้าน  เพราะไม่รู้จะออกไปทำไม จึงยิ่งทำให้จนอยู่อย่างนั้น ในขณะที่คนรวยกลับออกไปใช้ชีวิตอย่างสนุกสนาน เฮฮาปาร์ตี้นอกบ้านมากจนเกินไป จนลืมให้ความสำคัญกับคนในครอบครัว และการอยู่กับตัวเอง จนในท้ายที่สุดก็หาความสุขในชีวิตที่แท้จริงไม่ได้

 

ลีกาชิง

 

 ใช้ชีวิตอย่างสมถะ

 "ลี กา ชิง" ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตแบบสมถะ และเป็นคนที่มีอารมณ์ขัน เขาไม่ชอบโอ้อวด มักใช้เงินแต่กับสิ่งที่จำเป็น และไม่ซื้อของที่มีราคาแพงโดยไร้เหตุผล ซึ่งเศรษฐีที่สร้างตัวเองจากศูนย์ (Self-made Millionaire) หลายๆ คน มักมีทัศนคติในเรื่องนี้ที่เหมือนกัน   ลี กา ชิง เชื่อว่า มนุษย์เรา ไม่สามารถที่จะหยุดการเรียนรู้ได้ เขาเล่าว่า เมื่อครั้งยังเด็ก ยังมีเงินไม่มากนัก เขาต้องซื้อหนังสือเก่ามาอ่าน พออ่านจบ เขาก็จะนำหนังสือเก่าไปขายเพื่อไปซื้อหนังสือเก่าเล่มอื่นมาอ่านอีก อุปนิสัยรักการอ่าน และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่นี่เอง ที่เป็นรากฐานความสำเร็จของ ลี กา ชิง ซึ่งถึงแม้ว่าเขาจะต้องทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขาก็ยังสามารถจัดเวลาสำหรับการอ่านหนังสือได้อยู่เสมอ

 

ลีกาชิง

 

เขาเชื่อว่ายิ่งอ่านมาก ก็จะยิ่งทำให้สามารถมองเห็นโอกาสได้มากขึ้น จากการที่เขาอ่านหนังสือเยอะมาก จึงทำให้เขาเหมือนมีฐานข้อมูลขนาดใหญ่อยู่ในหัว ทำให้เขาสามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของเศรษฐกิจ และรู้ถึง Cycle ของธุรกิจได้เป็นอย่างดี ตรงจุดนี้เองที่ทำให้เขามองเห็นโอกาสได้มากกว่าคนอื่น และประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจอยู่เสมอ ในช่วงวิกฤตการณ์การเงินในเอเชีย หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ธุรกิจต่างๆ ในเอเชียได้รับผลกระทบในวงกว้าง แต่ธุรกิจของ ลี กา ชิง นั้นแทบไม่ได้รับผลกระทบเลย นั่นเป็นเพราะเขามีความรู้ ในการเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจ และดำเนินธุรกิจด้วยความไม่ประมาท

นอกจากเรื่องความรู้ทางธุรกิจแล้ว เขายังให้ความสำคัญกับการศึกษาความรู้ด้านภาษา โดยก่อนที่พ่อของเขาจะเสียชีวิต ได้แนะนำว่า ภาษาจีนกวางตุ้ง และภาษาอังกฤษมีความจำเป็นอยู่มากในการอยู่ที่ฮ่องกง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ จะทำให้เขาสามารถคิดทำการใหญ่ และประสบความสำเร็จเหนือคนอื่นในฮ่องกงได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตั้งใจในการศึกษาภาษาอังกฤษอย่างมาก โดยเวลาว่างเขามักจะท่องศัพท์อยู่เสมอ ซึ่งความรู้ด้านภาษาอังกฤษถือว่าเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมากในเวลาต่อมา เนื่องจากเขาต้องใช้ในการติดต่อกับลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาตินั่นเอง


ป็นยังไงกันบ้างหละคะน่าชื่นชมมากเลยใช้มั้ยเรียกได้ว่าเริ่มจากศูยน์จริงๆ ใครกำลังเหนื่อยกำลังท้ออยากให้เอาเรื่องนี้เป็นกำลังใจในการต่อสู้นะคะ ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา เราเป็นคนสร้างมันเริ่มต้นวันนี้ยังไม่สาย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคนนะคะ