ช็อก! ลูก-เมีย หนุ่มไทยเสียชีวิตจากโควิดรายที่ 3 ติดเชื้อไปด้วยยกบ้าน

จากกรณีที่ชายหนุ่มวัย 45 ปี ทำงานในสถานบันเทิงย่ายทองหล่อ ติดเชื้อโควิด-19 และได้เสียชีวิตเป็นรายที่ 3 ของไทย โดยมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งเพิ่งประกอบพิธีฌาปณกิจสพไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563ที่ผ่านมา

จากกรณีที่ชายหนุ่มวัย 45 ปี ทำงานในสถานบันเทิงย่ายทองหล่อ ติดเชื้อโควิด-19 และได้เสียชีวิตเป็นรายที่ 3 ของไทย โดยมีโรคประจำตัวเป็นโรคเบาหวานและโรคอ้วน ซึ่งเพิ่งประกอบพิธีฌาปณกิจสพไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2563ที่ผ่านมา 

โดยล่าสุด ครอบครัวของผู้เสียชีวิตรายดังกล่าว ได้ตรวจพบเชื้อโควิด-19 ทั้งบ้าน ทั้งภรรยาวัย 39 ปี  ลูกสาววัย 14 ปี และลูกชายวัย 13 ปี

 

ช็อก! ลูก-เมีย หนุ่มไทยเสียชีวิตจากโควิดรายที่ 3 ติดเชื้อไปด้วยยกบ้าน

ทั้งนี้ ลูกสาวได้เผยว่า คาดว่าน่าจะติดจากพ่อในช่วงที่กักตัวอยู่บ้าน โดยเริ่มแรกพ่อไปบขอรับการตรวจเพราะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง แต่ทางกรมควบคุมโรคไม่อนุมัติให้ทำการตรวจ จึงได้กลับมากักตัวที่บ้าน จนกระทั่งต่อมาพ่ออาการหนักจึงเข้ารับการตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล 10 วัน ก่อนเสียชีวิตลง 

ก่อนที่ทราบผล อาการทุกคนปกติดี ไม่มี ไข้ แต่มีอาการไอเป็นบางครั้ง ขณะที่ตน แม่ และน้องชายได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยหมอได้แจ้งว่าจะให้ยาต้านไวรัส แต่อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง คืออาเจียน และหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

 

ช็อก! ลูก-เมีย หนุ่มไทยเสียชีวิตจากโควิดรายที่ 3 ติดเชื้อไปด้วยยกบ้าน  

ซึ่งทั้งสามคมมีโรคประจำตัวคือ โรคภูมิแพ้ และกรรมพันธุ์ทางพ่อเป็นโรคเบาหวาน ส่วนกรรมพันธุ์ทางฝั่งแม่เป็นโรคหัวใจกันหลายคน แต่ทั้งสามคมก็ไม่เคยตรวจจึงไม่ทราบว่าเป็นโรคเบาหวานหรือโรคหัวใจด้วยหรือไม่ 

ลูกสาววัย 14 ปี กลัวว่าจะได้ใช้ยาต้านไวรัส ตนจึงรู้สึกกังวลและเครียดมาก เพราะเป็นชีวิตทั้งชีวิต ยื่งพอรู้ว่ายาทำให้หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ซึ่งมีโอกาสเสียชิวิตได้ ก็ยิ่งทำให้กลัวมาก เพราะยังไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการเลย ซึ่งแม่และน้องชายก็ต่างกังวลในเรื่องของผลข้างเคียงของยาเช่นกัน ทางครอบครัวจึงอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะใช้ยาต้านตัวดังกล่าวหรือไม่ และอาจจะต้องปรึกษาหมอว่ามียาตัวอื่นที่ผลข้างเคียงน้อยกว่าแต้ใช่ได้ผล
เหมือนกันหรือไม่ 

ช็อก! ลูก-เมีย หนุ่มไทยเสียชีวิตจากโควิดรายที่ 3 ติดเชื้อไปด้วยยกบ้าน

ลิ้งข่าวคลิกที่นี่  https://www.youtube.com/watch?v=GlWnAYqfb0E

ขอบคุณข้อมูลจาก : เรื่องเล่าเช้านี้