"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว” “พระมหาไพรวัลย์” สะท้อนพฤติกรรมของพระสงฆ์ นิมิตมั่ว อวดอ้างตนสื่อสารวิญญาณ ร้องไห้ ลิ้นจุกปาก ผ่านบทเรียนคดีดังน้องชมพู่ กระทำผิดธรรมวินัย เจ้าคณะเตือนแล้วไม่ฟัง จนมีมติไล่พ้นจังหวัด ย้ำชัดเป็นการหลอกลวง อวดอุตริ ทำให้เกิดความเสียหายต่อคณะสงฆ์โดยรวมแบบซ้ำซาก

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว” “พระมหาไพรวัลย์” สะท้อนพฤติกรรมของพระสงฆ์ นิมิตมั่ว อวดอ้างตนสื่อสารวิญญาณ ร้องไห้ ลิ้นจุกปาก ผ่านบทเรียนคดีดังน้องชมพู่ กระทำผิดธรรมวินัย เจ้าคณะเตือนแล้วไม่ฟัง จนมีมติไล่พ้นจังหวัด ย้ำชัดเป็นการหลอกลวง อวดอุตริ ทำให้เกิดความเสียหายต่อคณะสงฆ์โดยรวมแบบซ้ำซาก

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”

อวดอ้างตน หลอกลวงเลี้ยงชีพ เสียหายซ้ำซาก “มันอวดอุตริทั้งนั้นเลย อวดอุตริก็คืออวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน ถ้าเป็นพระท่านปรับถึงปาราชิกเลยนะ คืออวดว่าเห็นนิมิตมีญาณ มีนิมิต เห็นเด็ก ไม่เห็นแต่บอกว่าเห็น เป็นเรื่องหนักมากในทางพระ”

พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ พระนักเทศน์-นักคิด แห่งวัดสร้อยทอง เปิดใจว่า สะท้อนถึงประเด็นร้อนที่มีมติจากคณะสงฆ์จังหวัดมุกดาหาร ไล่ “พระเดือนชัย ธมฺมวิจโย” ออกจากพื้นที่ จ.มุกดาหาร เนื่องจากมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม อวดอ้างสัมผัสวิญญาณกรณีคดีน้องชมพู่ วัย 3 ขวบ ที่เสียชีวิตปริศนา พบศพที่เขาภูเหล็กไฟ อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร ซึ่งห่างจากบ้านประมาณ 5 กิโลเมตร จนตอนนี้ยังไม่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ หลังจากพบศพตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม 2563
 

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”

ทั้งนี้ ยังอ้างตัวเผยเบาะแสต่างๆ แสดงตนว่าสามารถสื่อสารทางวิญญาณได้ จนมีอาการคล้ายคนร้องไห้ และลิ้นจุกปาก พยายามโฆษณาตนเองผ่านสื่อต่างๆ จึงนับว่าผิดธรรมวินัย และกฎระเบียบคำสั่งของมหาเถรสมาคม ซึ่งทางเจ้าคณะในท้องที่ได้เตือนแล้วแต่ไม่เป็นผล ยังแสดงพฤติกรรมอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงเท่านี้ พระเดือนชัย ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่เคยมาที่นี่ และไม่หวังจะดัง ไม่ได้ตั้งใจอวดอุตริ แต่ญาติโยมที่ไปหาก็เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง

ด้านพระมหาไพรวัลย์ ก็ได้สะท้อนถึงเรื่องดังกล่าวนี้ว่า เป็นบทเรียนพฤติกรรมของสงฆ์ที่ไม่สำรวม ที่มีการอวดอ้างตนเอง ก็ต้องระงับตามพระวินัย หนักสุดคือมีคำสั่งให้ลาสิกขาออกไป “เรียกมาสอบสวนใช้หลักสัมมุขาวินัย เอาตัวพระที่ถูกโจทย์มาสอบสวนว่ามีกระทำความผิดจริงไหม แล้วมันเข้าข่ายความผิดวินัยในข้อไหน แล้วก็ให้สงฆ์ประชุมกันปรับอาบัติ ถ้ามันหนักก็ไม่แค่ไล่แล้ว ก็ต้องมีคำสั่งให้สึก ลาสิกขาออกไป”

แม้มติคำสั่งของคณะสงฆ์ขณะนี้จะเป็นเพียงการให้ออกจากพื้นที่ ยังไม่ให้มีการลาสิกขาแต่อย่างใด ทั้งที่คนส่วนใหญ่มองว่าไม่สมควร ไม่ใช่กิจของสงฆ์ที่ควรกระทำ และพระมหาไพรวัลย์ ก็ย้ำว่า ยังทำให้เกิดกรณีความเสียหายต่อคณะสงฆ์โดยรวมแบบซ้ำซากอยู่ดี
"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”

“จริงๆ คำสั่งนั้นอาตมาไม่มั่นใจว่าเป็นคำสั่งคณะธรรมยุตอะไรหรือเปล่านะที่เขามีคำสั่งไปของคณะธรรมยุตเขา ที่เขาจัดการการดูแลพระในสังกัดปกครองของจังหวัดมุกดาหาร คือคณะสงฆ์เราเองบางทีมันก็ปล่อยปละละเลยอะไรแบบนี้มานานนะ ในความเห็นอาตมา มันก็ทำให้เกิดกรณีความเสียหายกับคณะสงฆ์โดยรวมแบบซ้ำซากมาก หมายถึงว่าถ้าไม่ได้เป็นข่าวคดีดังจริงๆ ก็ไม่ได้มีการเข้าไปจัดการดูแล ถ้าอย่างกรณีนี้ถ้าไม่ได้เล่นข่าว ไม่ได้เป็นข่าว ก็ไม่ถูกจัดการ ถูกแก้ไข

แต่ว่าโดยกระบวนการของการขับไล่ อาตมาไม่มั่นใจว่าคณะสงฆ์ได้มีการเรียกตัวพระเดือนชัย ไปสอบสวนอะไรหรือยัง กล่าวตักเตือนก่อนหรือยัง หรือว่าทำแล้ว แล้วยังมีพฤติกรรมซ้ำซากอยู่ โดยปกติถ้าเป็นการจัดการทางพระวินัยมันก็ต้องมีการเรียกตัวมาสอบสวน แล้วก็มีหลายเรื่องที่หมิ่นเหม่เหมือนกันแหละที่พระเดือนชัย ท่านทำ อย่างการเข้าข่ายการอวดอุตริหรือเปล่า ถ้าอวดอุตรินี่จะหนักเลยนะถ้าเป็นพระ อาตมาไม่ทราบว่าผ่านกระบวนการหรือเปล่า”

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”

นอกจากนี้ พระมหาไพรวัลย์ ยังกล่าวอีกว่าหากมีการตักเตือนแล้ว แต่ไม่ยอมเลิกพฤติกรรมที่ยังทำอยู่ ก็ไม่ควรปล่อยปละละเลย เพราะอาจจะเกิดพฤติกรรมเลียนแบบกันไม่จบสิ้น “ถ้ามีการตักเตือนแล้ว นั่นก็แสดงว่าไม่ยอมเลิกพฤติกรรมและยังทำอย่างนี้อยู่ อาตมามองว่าพฤติกรรมของพระเดือนชัยก็ไม่ควรปล่อยไว้นะถ้าพูดโดยตรงตามความเห็น เพราะว่ามันสร้างความเสียหายให้แก่คณะสงฆ์โดยรวม

แล้วก็จะเกิดพฤติกรรมการเอาอย่างด้วย เพราะว่าพระสงฆ์ที่มีลักษณะการอวดอ้างตัวในทางที่เป็นเกจิ เป็นผู้มีคาถาอาคม เป็นผู้มีมนต์ขลัง จะเป็นพระที่ชาวบ้านหลงเชื่อได้ง่าย เพราะว่าชาวบ้านส่วนใหญ่จะชอบพระแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าให้หวย ให้เลข ยิ่งหนักเลยทีนี้ ชอบพากันไปบูชา พากันไปศรัทธา เลื่อมใส มันก็เป็นการส่งเสริมให้พระสงฆ์อยากจะเอาอย่างพระเดือนชัย อยากจะตั้งตัวเป็นเกจิ แล้วก็เป็นผู้วิเศษ มีนิมิต ทำนายได้ เห็นโน่นเห็นนี่ เข้าทรง

"ซึ่งเรื่องพวกนี้พระพุทธเจ้าตำหนิมาว่ามันเป็นอเนสนากรรม เป็นการเลี้ยงชีพด้วยกรรมที่มันไม่เหมาะสม ไม่สมควร ไม่ใช่ทางที่พระจะพึงปฏิบัติ พูดง่ายๆ ถ้าใช้คำพูดแรงหน่อยก็คือมันเป็นการหลอกลวงเลี้ยงชีพ”

"พระมหาไพรวัลย์" ตีแผ่ความเสื่อมสงฆ์ ผ่านคดี “น้องชมพู่” พระจริงต้อง “ไม่อิงไสยศาสตร์-ไม่อ้างนิมิตมั่ว”